03/10/2018 Welcome to
Rio de Janeiro
มาถึงปุ๊บ เวลาประมาณ 6:40
ภารกิจคือต้องไปฝากเป๋าที่โรงแรมก่อนไปหารูปปั้นพระเยซู
ซึ่งมีกำหนดขึ้นรถรางไว้ตอน 9:40
เวลา 3 ชม. ดูฉิวเฉียดมาก
วิธีการเดินทางเข้าไปโรงแรมที่เลือกคือ นั่ง BRT จากสนามบินไปต่อรถไฟใต้ดิน (Metro) ซึ่งสามารถซื้อเป็นบัตร
Prepaid Rio Card ได้ที่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติเลย มีค่าธรรมเนียมออกบัตรที่ 3 Real + เงินที่ใส่ไป ตอนนั้นมีแค่แบงค์ 50 สรุปเลยเติมไป 47 Real ตอนแรกก็แอบหวั่น ๆ
ว่า เฮ้ย มา 2 คนต้องออก 2 ใบเปล่า? เลยใช้อากู๋แปลภาษาถามเป็นโปรตุกีสไปให้พนักงานดู
สรุปบัตรเดียวแปะให้ได้ 2 คนเหมือนตุรกี เยี่ยม!!
อ่ะ สำหรับบัตรควรเติมให้พอดี ๆ
นะเพราะแลกเป็นเงินกลับคืนไม่ได้ ไม่มีระบบ Refund
จากนั้นก็ขึ้น BRT ยาวไปลงที่สถานี Vicente de Carvalho เพื่อต่อ Metro ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ซึ่งลงไปถึงปุ๊บ นึกถึงหนังเรื่อง Fast and Furious ขึ้นมาเลยตอนฉากที่ว่า ที่นี่คือริโอ เดอ จาเนโร 😓 อารมณ์แบบดูเถื่อนขึ้นทันตาจนแบบต้องปล่อยออร่าหน้าไม่เป็นมิตรระวังกระเป๋าอะไรไว้
คือ จุดต่อเป็นเหมือนย่าน Downtown พอแบกเป๋าลากก็จะดูเด่น ก็ค่อย ๆ
เดินไปขึ้นเมโทรซึ่งใช้บัตรเดียวกันได้ มุ่งหน้าไปยังเส้น Botafogo ลงที่สถานี Cinelandia
เพื่อไปยังโรงแรม 55 Rio ที่จองไว้
ซึ่งแอบช็อคมากคือคนโคตรแน่น แบบขบวนแรกขึ้นไม่ได้ต้องรอขบวนถัดไปเพื่อเบียด
สำหรับผู้หญิงถ้ามาให้เดินไปอีกจะมีตู้เฉพาะเลดี้ให้ ใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 1 ชั่วโมงรวมเดินออกจากสถานีไปโรงแรม
ในสถานีจะมี Currency Exchange ให้ใช้เรตไม่ค่อยดีแต่ดีกว่าในสนามบินที่จะถูกชาร์จค่านู่นนั่นนี่อีกเยอะมาก
ด้วยเวลาที่ค่อนข้างสายแล้ว ตอนนั้นประมาณ 9 โมงกว่าแล้วเลยตัดสินใจเรียก Taxi ไปลงสถานีรถไฟ Corcovado ใช้เวลาซัก 20 กว่านาทีก็มาถึง สำหรับรถ Taxi ให้เรียกใช้รถสีเหลืองคาดแถบฟ้าจะเป็นแบบมิเตอร์
ราคาพอตัวแต่สะดวกดี ส่วนใหญ่คนขับจะเป็นคนแก่ที่เกษียณอายุงานแล้วมาหารายได้เลยสุภาพ
ค่ารถจากโรงแรมประมาณ 22 Real
หลังจากมาถึงก็เดินไปที่สถานี
สำหรับตัวรถไฟนี่ต้องจองซื้อตั๋วล่วงหน้าผ่านเว็บ http://www.tremdocorcovado.rio/index-eng.html หรือ ซื้อผ่าน App ก็ได้
โดยจะได้เป็นเลข Reservation Code มา จากนั้นชำระด้วยบัตรเครดิต ช่วงที่ไปเป็นราคาช่วง Low Season อยู่ที่ 62 Real ไม่จำเป็นต้องปรินท์ตั๋วแค่ Cap หน้าจอ Code + เอาบัตรเครดิตที่จ่ายไปยืนยันก็พอ
สำหรับเวลาที่จองไปไม่ได้ซีเรียสว่าต้องไปรอบนั้น
อย่างครั้งนี้ก็ไปสายกว่าจะต่อคิวยืนยันได้รอบ 10:40 นู่น ก็เลยพักกินน้ำ กินทาร์ตไข่รอ
ซักพักจะเรียก Boarding ให้ไปต่อแถวพอได้ขึ้นแนะนำให้นั่งฝั่งหันหลังกลับเพราะจะเห็นวิวชัด
ใช้เวลาประมาณ 20 กว่านาทีก็ขึ้นมาถึงปลายทาง เดินต่อขึ้นอีกนิดหน่อยก็จะถึง Christ of Redeemer คนเยอะพอประมาณก็หามุมถ่ายรูปกันยาว ๆ จนพอใจค่อยมาแวะกินน้ำ
นั่งพักตากลมชมวิวจนพอใจหายเหนื่อยค่อยกลับลงมา
ซักเที่ยงครึ่งค่อยกลับลงมาด้วยรถไฟเส้นเดิม
(แนะนำให้นั่งฝั่งหันหลังเหมือนเดิมเพราะแดดจะไม่ส่อง) ซักประมาณ 13:00 ก็ลงมาถึง
จากนั้นก็เรียก Taxi มิเตอร์ที่อยู่ด้านซ้ายของสถานีไปหาด Copacabana จุดมุ่งหมายมี 2 อย่าง คือ 1.กินข้าว 2.เดินหาด ด้วยความที่อยากหาร้านกินแบบบาร์บีคิวสไตล์บราซิเลียน หรือ
ที่เรียกว่า Churrascaria ที่ร้าน Churrascaria Palace ที่ได้ติด Trip Advisor รวมกับยังไม่ได้กินมื้อหรู ๆ เลยครั้งนี้ จัดไป!!! Buffet ราคาหัวละ 149 Real + Service Fee ราคาโหดแต่ของก็โหดตามจริง ๆ Buffet Bar ประกอบไปด้วยสารพัดชีสหลากหลายแบบ
อาหารทะเลต่าง ๆ ทั้งซาชิมิ หอยนางรมสด หอยแมลงภู่ ซุปทะเล พาร์มาร์แฮม สลัดต่าง ๆ
etc. ส่วนของที่มีเสิร์ฟให้บนโต๊ะจะมีขนมปังชีส
หัวหอมทอด เฟรนส์ฟราย ข้าว จากนั้นพนักงานก็จะมาทยอย ๆ เสิร์ฟเนื้อย่างต่าง ๆ
มีทั้ง หัวใจไก่ ซี่โครงแกะ เนื้อวัวส่วนต่าง ๆ ทั้งคอ ไหล่ ลำตัว สะโพก เนื้อหมู
เนื้อแองกัส สเต็กเนื้อ เนื้อลูกวัว เนื้อนกกระจอกเทศ หลากหลายเมนูมากมาย
เสิร์ฟต่อเนื่องจนกินไม่หมด
แต่พวกนี้มักจะย่างเกลือทำให้หิวน้ำพอสมควรสุดท้ายก็สั่งโค้กไป 4 ขวด
ส่วนของหวานไม่รวมกับค่า Buffet เลยขอบาย
 |
Christ of Redeemer หรือ กริชตูเรเดงโตร์ |
 |
Christ of Redeemer หรือ กริชตูเรเดงโตร์ |
 |
วิวข้างบน |
 |
วิวข้างบน |
 |
0% นะฮะ |
 |
Churrascaria Palace |
 |
ชีสทุกแบบ >< |
 |
อาหารจัดเต็มมาก |
 |
ซูชิ ปลาดิบก็มีนะ |
 |
หั่นกันสด ๆ เนื้อนุ่มมาก ๆ |
 |
คืออยากรู้เทคนิคการย่างมากอ่ะ ไม่แห้งด้วยนะ |
 |
เนื้อแต่ละแบบจะมีซอสที่ให้กินคู่ต่างกันไป |
 |
ฉ่ำมากกกกกก >< |
หลังจากกินเสร็จก็ออกมาเดินชายหาด Copacabana ยอมรับเลยว่ามีขนาดกว้างใหญ่มากและก็ร้อนมากเช่นกัน ส่วนใหญ่จะเห็นคนนอกอาบแดดกันมากกว่าเล่นน้ำทะเล มีเครื่องดื่มอารมณ์สไตล์คอกเทลขายทั่ว ๆ ไป เดิน ๆ ไปได้ซักครึ่งทางรู้สึกว่าแดดเผาทั้งตัวทั้งจากแดดตรง ๆ กับที่สะท้อนกับเม็ดทรายเลยตัดสินใจพอแล้วดีกว่าเดินไปขึ้น Metro ใกล้ ๆ ไปดูบันไดสี Escadaria Selarón แล้วกลับโรงแรมดีกว่าซึ่งเลือกลงอีกสถานีแทนเพื่อจะได้เดินทางใหม่ ๆ และแน่นอนว่ามีหลงเข้าผิดซอย 😂 ไกลกว่าจนสุดท้ายต้องซื้อน้ำ ซื้อไอศครีมกิน ที่นี่ local จะนิยมขายไอศครีม Acai รสชาติก็โอเคนะ แต่น่าจะกินแก้วเล็ก ๆ พอซัก 200 ml มากกว่านั้นจะเริ่มเลี่ยน สุดท้ายพอเดินมาถึงบันไดที่ว่าก็...อืม....มีสีสันหลากหลายดีแค่นั้นแหละ คือ มันไม่มีอะไรจริง ๆ นอกจากสีและรูป รวมถึงการตกแต่งที่มีศิลปินมาทำไว้ ข้างล่างบันไดจะมีร้านค้าขายของแลวสตรีทอยู่บ้างเล็กน้อย ส่วนใหญ่จะเห็นนักท่องเที่ยวแวะมาถ่ายรูปแล้วก็ไป
 |
อย่างกว้าง |
 |
โคตรร้อนนนนนนนนนนนนนนนน |
 |
นั่นฝุ่นหรือควัน? |
 |
อยากกินน้ำผลไม้ แต่ใส่แอลกอฮอล์ทั้งนั้น ยอม TwT |
 |
ใต้ดินสถานีเค้าดูดีมากอ่ะ เอาจริง |
 |
แอบสอยไอศครีม Acai Berry มาชิม |
 |
บันไดสี Escadaria Selarón |
 |
บันไดสี Escadaria Selarón |
 |
บันไดสี Escadaria Selarón |
จากนั้นก็แวะไปร้าน Star Bucks เผื่อว่าจะมีแก้วของริโอแต่เจอของ Sao Paulo แทนเลยไม่ซื้อและแวะร้านสะดวกซื้อ
ซื้อน้ำ local มาลองกินดู + ลองไอศครีม Magnum รสชาติของที่นี่หวานคล้ายของไทยแต่แพงกว่า
จัดแจงซื้อของอะไรเสร็จก็กลับเข้าโรงแรมพักผ่อนเตรียมเดินทางต่อพรุ่งนี้เช้า
04/10/18 Drop in São
Paulo
เช้านี้ตื่นเร็วหน่อย
ออกจากโรงแรมประมาณ 5:30 เรียกแท็กซี่ไปสนามบินประมาณ 60 กว่า Real เผื่ปเวลาไว้ไปหาของกินที่สนามบินแทน
(ที่โรงแรมนี้มีข้าวเช้าให้แต่พร้อมตอน 6:30 ซึ่งไม่ทัน)
สุดท้ายเนื่องจากเช้ามากร้านเปิดอยู่ไม่เยอะเลยจบลงที่ McDonald ซักประมาณ 7:30 ก็เริ่มบินเดินทางไปยัง São Paulo ประมาณ 2 ชม. ก็มาถึงสนามบิน
Terminal 2 แต่เนื่องจากเดี๋ยวต่อเครื่องไปตุรกีดึกวันนี้เลยไปหาจุดฝากกระเป๋าที่
Terminal 3 แทน (มีทางให้เดินแต่ขึ้น Shuffle Bus ได้ไกลมาก)
ค่าฝากตู้ละ 40 Real กุญแจถ้าหายเสียค่าปรับ 150 Real!!! ถ้ามาเอาคืนหลังเที่ยงคืนถือว่าชาร์จเพิ่มอีกวัน
ฝากเสร็จด้วยความไม่รู้เลยเดินกลับไป Terminal 2 ทั้งที่ตามจริงสามารถขึ้น
Shuffle Bus จากตรงนั้นไปสถานีรถไฟได้เลย
สถานนีรถไฟที่จะไปต่ออยู่ห่างจากสนามบินพอสมควรแม้จะชื่อว่า Aeroporto ก็ตาม ตอนดูใน Metro
Map ในเน็ตจะยังไม่เห็นสาย Jade นี้เพราะเพิ่งเปิดใช้ไม่ได้
(เข้าใจว่าเพิ่งเปิดปี 2018 เพราะมีรูปเริ่มก่อสร้างฐานปี 2015 และพัฒนาการจนถึงปี 2018 ให้ดู)
สายนี้จะเป็นรถ Train บนดิน ระยะห่างแต่ละสถานีไกลพอสมควรคล้ายกับ ARL บ้านเรา
เป้าหมายของเราที่แรกคือ São Joaquim ซึ่งมีโบสถ์เก่าแก่ชื่อ Catedral Metrodista de São Paulo กับร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่แถบนั้นทั้งย่าน
เลยตัดสินใจแวะไปดูโบสถ์ก่อนกินข้าวกลางวันที่นั่น โดยเราจะต่อรถตามนี้
Aeroporto ->
Engenheiro Goalart ของ Jade Line
Engengeiro Goalart
-> Brás ของ Saifra Line (Line 12 สีน้ำเงิน)
Brás -> Sé ของ Coral Line (Line 11 สีแดง) สังเกตปลายทางไป Palmeras Barra Funda
Sé -> São Joaquim ของ Azul Line (Line 1 สีน้ำเงิน) สังเกตปลายทางไป Jabaquara
จากนั้นพอขึ้นก็มาเดินย้อนขึ้นไปทางสถานี
Sé ประมาณ 300-400 เมตรจะเจอทั้งโบสถ์และโซนร้านอาหารญี่ปุ่น
เลือกกินได้ตามชอบแต่แนะนำว่าพวกร้านราเมนจะเซฟสุด เพราะที่ไปลองกินข้าวหน้ามากุโรดิบ
และก็พบว่านอกจากใส่ มากุโร่สับดิบ วาซาบิ ไข่ดิบแล้ว ยังให้นัตโตะด้วย!!!
ซึ่ง....ไม่เข้ากัน ไม่เข้ากันอย่างมาก!!! TmT แถมอย่างแพง 70 Real ประมาณ 560 บาท Orz ส่วนราเมนถ้าสั่งแนะนำให้เป็นพวกมิโซะราเมน
หรือ ชิโอะราเมน ถ้าโชยุราเมนจะเค็มโดดไป หรือจะลองพวกข้าวราดแกงกะหรี่ดูก็ได้นะ
แต่ส่วนตัวไม่ทันได้ลองเพราะตอนย้อนกลับมา 5 โมงกว่าร้านปิดไปแล้ว
เลยได้กินอีกร้านเป็นอาหารญี่ปุ่นสไตล์จีนไทเป
คือพวกผักเขียงกลายเป็นถั่วงอกดองแทนพวกต้นหอม
 |
มันแค่หน้าตาเหมือนราเมน! |
 |
เรือดูหรูแต่รสชาติเราว่าไม่น่าได้ -0- |
 |
หึหึ จะร้องไห้ ให้อารมณ์เจอของก็อปที่หน้าตาเหมือนอย่างเดียวอ่ะ |
 |
ข้าวหน้ามากุโร่สับที่มีนัตโตะใส่มาด้วยพร้อมไข่ดิบ รสชาติปลาฉันหายหมด TT |
หลังจากกินเสร็จเนื่องจากอากาศเย็นกำลังดีใส่เสื้อกันหนาวหรือกันลมตัวเดียวก็อยู่เลยตัดสินใจเดินเล่นไปเรื่อย
ๆ ไปทางสถานี Sé ซึ่งมีโบสถ์ Catedral
da Sé ซึ่งเป็นโบสถ์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง
พอทัศนา ถ่ายรูปเสร็จ ก็ออกไปเดินเล่นย่านคนเดินทางฝั่งซ้ายของโบสถ์เรื่อย ๆ จะมี shopping mall อยู่ให้พอเดินเล่นดูอาหาร ข้าวของได้บ้าง
มีพวกร้านช็อคโกแลตแต่นอกจาก Soft
Cream พวกช็อคโกแลตชิมแล้วหวานเกินไปหน่อยเลยไม่ซื้อกลับมา
พอเดินเรื่อย ๆ
จนถึงเย็นว่าจะกลับไปกินร้านอาหารญี่ปุ่นแต่ก็ปิดตามที่ว่าสุดท้ายเลยกลับสนามบินด้วย
Route เดิม แต่พอช่วง 6 โมงเย็นที่สถานี Sé คนแน่นมาก ๆ
มากเกินกว่าที่คาดไว้ คือ ต้องรอประมาณ 10 ขบวนได้กว่าจะได้ขึ้น
ส่วน Route และปลายทางตามนี้
 |
ภายใน Catedral da Sé |
 |
ภายใน Catedral da Sé |
 |
ภายใน Catedral da Sé |
 |
ภายใน Catedral da Sé |
 |
ภายใน Catedral da Sé |
 |
Catedral da Sé |
 |
สมเป็นเมืองคนออฟฟิศ |
São Joaquim
-> Sé ของ Azul Line (Line 1 สีน้ำเงิน)
สังเกตปลายทางไป Tucuruvi
Sé -> Brás ของ Vermelha (Line 3 สีแดง) สังเกตปลายทางไป Corinthlans
Brás -> Engengeiro
Goalart ของ Saifra Line (สีน้ำเงิน)
สังเกตปลายทาง Calmon Vlanda (ตรงนี้ต้องระวังอย่าไปสายสีแดงเพราะจะไม่ผ่านสถานีที่จะต่อไปสนามบิน
Engenheiro Goalart
-> Aeroporto ของ Jade Line
สำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วยรถไฟนั้นราคาเดียวตลอดสายที่
4 Real ต่อคนไม่ว่าลงป้ายไหน
ตอนซื้อตั๋วที่ Ticket Office บอกแค่จำนวนคนก็พอ ระวังบางทีอาจมีพวกดักขายตั๋วราคาต่ำกว่าที่ 2 Real ซึ่งเห็นมีคนซื้อแต่ก็ไม่รู้ว่าเอามาจากไหนแล้วใช้ได้หมดไหม
ส่วนการใช้หลังจลกสอดตั๋วเข้าไปไม่ต้องรอรับตั๋ว หลังจากนั้นจะออกก็แค่ผ่านจุด Saida (Exit) เท่านั้น ถึงจะต้องซื้อตั๋วใหม่ถ้ายังอยู่ในระบบจะไปไหนก็ได้
 |
ชั่วโมงเร่งด่วนคนเยอะมาก |
 |
แน่นเอี๊ยดดดดดด |
พอกลับมาถึงสนามบินก็นั่ง Shuffle Bus ไป Terminal 3 เอากระเป๋าที่ฝากไว้เข้า Gate เห็นร้านถั่วเคลือบน้ำตาลดูน่าซื้อเลยจัดมาเป็นของฝากซะ
มีอ่านในเว็บแนะนำเวเฟอร์ Biss แต่ชิมแล้วรสชาติไม่ต่างกับปักกิ่งบ้านเราเลยปล่อยไป
รอขึ้นเครื่องตอนตี 2 กว่าเพื่อเดินทางไปยัง Istanbul, Turkey เป็นอันจบวัน
05/10/10 Take a rest
in Istanbul
สำหรับวันนี้คือวันเดินทาง+พักผ่อนโดยแท้
โดยเริ่มมื้อเช้าบนเครื่องบินเป็นออมเล็ต เห็ดฟาง ตอนตี 4 ครึ่ง ตามมาด้วย
ข้าวกลางวันจองเป็นข้าวสตูว์เนื้อไว้ตอนบ่ายโมง ก่อนนอนยาว ดูหนัง
พักผ่อนตามอัธยาศัยมาถึงที่ตุรกีอีกทีประมาณ 3 ทุ่มครึ่งตุรกี (บ่าย 3 ครึ่งของบราซิล
รวมเดินทางประมาณ 13 ชม. กว่า ไม่รวมดิฟจากการข้ามเขตเวลาอีก 6 ชม.)
พอมาถึงก็ไปรอขึ้นรถที่ป้าย Shuffle
Bus ของโรงแรม Elite World Business Hotel ที่จองโรงแรมนี้เพราะอยู่ใกล้กับสนามบิน มีข้าวเช้าและรถรับ-ส่งฟรี
ตามเวลา รอขึ้นรอบ 22:30 แล้วก็จัดการเช็คอิน
ข้าวเย็นลองนิชชินบราซิลที่หนุ่มอินเดียให้มาเป็นรสไก่เผ็ด ๆ น้ำซุปแซ่บแบบอ่อน ๆ
กำลังดี จากนั้นก็อาบน้ำ นอนพักผ่อนตามอัธยาศัย จบไปอีกวัน
 |
คนอังกฤษให้มาตอนอะเมซอน รสชาติอร่อยดี |
 |
ที่พักดี ๆ ที่แสนคิดถึง |
 |
ที่พักดี ๆ ที่แสนคิดถึง |
06/10/18 Come back to
Phuket, Thailand
กว่าจะตื่นไป ๆ มา ๆ ก็ 9 โมง
ทำอะไรเสร็จลงมากินข้าวก็ 9:30 กับข้าวหลากหลายดีและแน่นอนใครเป็นสายชีสนี่รักตายเลย
อุดมไปด้วยชีสนานาชนิดให้ได้ลิ้มลอง มีผลฟิกตุรกีให้กิน
ส่วนที่อร่อยที่สุดขอให้กับโยเกิร์ตรสชาตินุ่มละมุนลิ้นมาก ๆ 😍
 |
อาหารเช้าอลังมาก |
 |
อาหารเช้าอลังมาก |
 |
อาหารเช้าอลังมาก |
พอ 10:00 ก็ขึ้นรถไปส่งสนามบิน
จัดแจงดูของฝากอะไรเสร็จก็กินข้าวอีกทีก่อนขึ้นเครื่องตอนเที่ยง
มื้อนี้จัดไก่ทอดถังของ Pop Eye ไก่นุ่มกรอบดี ส่วนเฟรนส์ฟรายกับขนมปังที่มีมาด้วย...ช่างมันเถอะ
ถ้าจะซื้อน้ำเปล่าเพิ่มที่นี่ไปซื้อตามตู้กดจะถูกกว่าที่ 3.5 รีลา แต่ถ้าซื้อใน Food Court พุ่งไปถึง 8 รีลา กินข้าวเลร็จก็ไปรอขึ้นเครื่องรอบ 14:25 เพื่อกลับภูเก็ต
สำหรับของว่างของ Turkish Airline จะเป็นถั่วลิสง น้ำที่มีพิเศษได้แก่ Sour Cherry กับ Homemade Lemonade with
fresh mint
 |
Homemade Lemonade |
เวลาประมาณ 16:30 ก็เริ่มเสิร์ฟอาหารชุดแรกมีให้เลือกระหว่าง
Minced Beef กับ Pasta พวก Side Dish เป็นมันบด สลัดน้ำมันโอลีฟ มูสกาแฟ
ลืมบอกสำหรับพวกน้ำใครชอบน้ำผลไม้เย็น ๆ ขอ with ice ได้นะ
รสชาติจะเย็นชื่นใจขึ้นเยอะ จากนั้นก็ดูหนัง อ่านหนังสือ
นอนหลับพักผ่อนจนแลนดิ้งอย่างปลอดภัยที่ภูเก็ต ในเช้าวันที่ 07/10/18 แล้วรอต่อเครื่องกลับกรุงเทพมหานครเป็นอันจบทริปในครั้งนี้
 |
Minced Beef กับ Pasta |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น