Holi Festival in Shri Dwarikadheesh Mandir, Mathura |
ในที่สุดก็ได้มีเวลามาปั่นรีวิว Trip India2018 นี้ซักที
ครั้งนี้เป็นมินิทริปสั้น ๆ แต่ 4 วัน รวมเดินทาง เพื่อไปร่วมงานเทศกาลสาดสี Holi Festival แต่ครั้งนี้พิเศษแตกต่างจากทริปแบกเป้อื่น ๆ คือ……ได้ตั๋ว Business Class ในราคา Economy *_____*!!!! /0/ ฮูเร่ เป็นตั๋วหลุดของสายการบิน Malaysia Airline นั่นเอง ถือเป็นของขวัญวันเกิดปีนี้ไปในตัวเลย เดินทาง 1 วันถัดจากวันเกิด (เพราะตอนจองดันเน้นตรงกับวันหยุดเข้าว่า =w=”)
อ่ะ ๆ ก่อนไปถึงรีวิว หลายคนอาจจะเคยได้ยินข่าวเครื่องบินของสายการบินนี้ที่หายสาบสูญและอาจจะรู้สึกว่าเสี่ยง ไม่กล้าไปแต่ในทางกลับกันแปลว่าคุณมีโอกาสที่จะได้รับของราคาดี ๆ เพราะคงไม่มีโอกาสเกิดบ่อยซ้ำ ๆ ขนาดนั้นหรอก ในทางกลับกันมาตรการยิ่งต้องเข้มงวดขึ้นด้วยซ้ำ แต่ก็แล้วแต่มุมมองคนล่ะนะ ต่อ ๆ เดี๋ยวหลุดประเด็น
ตั๋วที่จองครั้งนี้ไม่ใช่บินตรง Bangkok – New Delhi แต่เป็นการ Transit ไปต่อเครื่องที่ Kuala Lumpur ถามว่าทำไมถึงยอมช้า เพราะว่าเราสามารถนั่ง Business Class ได้ถึง 4 Flights!!! แถมเรายังสามารถเข้า Lounge ของทุกสายการบินที่อยู่ในเครือ One World ได้นั่นเอง เพราะฉะนั้นทริปนี้ดูเหมือนจะเป็นการ Tour Lounge One World ส่วนอินเดียเหมือนเป็นของแถมไปซะงั้น lol
วันแรกของการเดินทาง 01 Mar 2018
เป็นทริปที่แสนชิล เริ่มต้นจากสนามบินสุวรรณภูมิหลังจาก Check In เรียบร้อย เป้าหมายของวันแรกมีทั้งหมด 4 Lounge คือ JAL, Qatar, Cathay และ Miracle แต่……เนื่องจากไปสายเวลาไม่พอจึงต้องตามไปสมทบกับพี่ ๆ ที่ Lounge ของ Cathay แทน TwT
Premium Lane ที่อย่าใช้เลยในเมืองไทยคนเยอะ ไม่ต่างกับ Lane ปกติ |
JAL’s Lounge: สายการบินของญี่ปุ่น อาหารจะเป็นพวกข้าวราดแกงกะหรี่ที่รสชาติพี่ ๆ เค้าก็ดี แต่ไม่มีบุญได้ชิม TmT
Cathay’s Lounge: เป็นสายการบินของฮ่องกง ดังนั้นลักษณะอาหารจะเป็นสไตล์เอเชีย ก็จะมีพวกบะหมี่เกี๋ยว ผัดหมี่ ผัดไท และติ่มซำ อาหารค่อนข้างหลากหลายและถูกปากอยู่ แม้ว่าสถานที่ภายในจะดูแคบไปนิดแต่ก็พักผ่อนได้สบาย
แท่นแแท๊น Cathay Lounge ซึ่งกินเพลินเพราะหิว ลืมถ่ายรูป!!! |
Qatar’s Lounge: ยังไม่เปิดให้บริการ ข้ามไป
Miracle Lounge: เลาจ์นของเอกชนที่ดีงามมาก !!! ภายในกว้างและหรูหรา นอกจากอาหาร Buffet ที่มีให้เลือกสรรทั่ว ๆ ไปแล้วจะมีอาหารที่เตรียมใหม่ ๆ คือ ข้าวมันไก่ และ ข้าวหน้าเป็ด ไซส์น้อย ๆ พอดี ๆ ให้สามารถลิ้มรสชาติอาหารอื่น ๆ ต่อได้
Map ทางไป (พวกตระกูล One World อยู่ในโซนเดียวกันหมด) |
บรรยากาศภายใน กว้างดี มีทั้งบุฟเฟต์ และ Made to Order |
ลองซุปและพวก Breakfast Theme ซุปเห็ดอย่างเริ่ด |
มีข้าวมันไก่ และ ข้าวหน้าเป็ด เป็ดใช้ได้อยู่แต่ไมไ่ด้ว๊าวขนาดนั้น |
หลังจากที่เพลิดเพลินกับ Lounge ต่าง ๆ ที่พึงจะเข้าได้ทั้งหมดก็ถึงเวลา Take Off แล้ว ความรู้สึกของการที่ถูกเรียนขึ้นเครื่องก่อนมันดีอย่างนี้นี่เอง คือ ไม่ใช่แค่ขึ้นไปนั่งโง่ ๆ แต่ Business Class สำหรับไฟล์ทสั้น ๆ จะได้รับ Welcome Drink ระหว่างรอ Take Off ด้วย ซึ่ง Signature Drink ของมาเลเซียก็คือ Pink Guava หรือ ฝรั่งสีชมพูนั่นเอง (รสชาติก็น้ำฝรั่งทั่ว ๆ ไปแหละ แต่แค่ปกติเราจะเห็นเสิร์ฟแต่น้ำสม หรือ น้ำแอปเปิ้ล เท่านั้นเอง) ส่วนที่นั่งก็แสนสบายไม่คุดคู้ รู้สึกผ่อนคลาย
Apple & Pink Guava Juice |
หลังจากที่ Take Off แล้วสักพักก็จะถึงเวลาอาหารโดยช่วงที่บินประมาณ 11:30 ตามเวลาท้องถิ่น ก็จะได้ Set All Day Dining มา ประกอบด้วย
Starters: Garden Salad
Main Course: มี 3 อย่างให้เลือก
1.) Panaeng Chicken Curry
1.) Panaeng Chicken Curry
2.) Stir-fried Shrimp
3.) Grilled Beef Fillet
Dessert: Thai Mango Pudding
เนื่องจากเป็นขาไป กลัวท้องจะมีปัญหาเลยจัด Stir-fried Shrimp ไปแทน
ของที่มาเสิร์ฟก็โอเคอร่อยดี มีทั้งขนมปัง สลัด ตัวเมนคอร์ส แต่….ทำไมของเรากลายเป็นผลไม้แทนพุดดิ้งมะม่วงล่ะ =___=” หรือ ตอนนั้นเราแจ้งในเว็บไว้ว่า เอาผลไม้แทนของหวานเนี่ย (เมนูอาหารต่าง ๆ จะสามารถเลือกได้ในหน้าเว็บ รวมถึงที่นั่งด้วย ถ้ามีอาหารอะไรที่แพ้ก็แจ้งก่อนล่วงหน้าได้เลย) ไม่เป็นไรชิมของพี่ข้าง ๆ เอาก็ได้ ซึ่งรสชาตินี่แหล่มมาก แนะนำเลยเป็น Signature ยิ่งกว่าน้ำ Pink Guava อีก
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็จะมี Hot Drink มาให้เสิร์ฟอีกที มีทั้งชา กาแฟ หรือ จะรับเครื่องดื่มอื่น ๆ ก็ได้ (ตามจริงก็ขอได้ตลอดแหละ แล้วแต่ต้องการ) ก็เลยลอง South African Rooibos Tea ดู ให้ความรู้สึกแบบชาแดงแฮะ ไม่ค่อยโดน รู้งี้น่าจะสั่ง Teh Tarik หรือ เต๊ะ ตาลิค แปลเป็นไทยก็คือ ชาชัก น่ะแหละ
เมนูสำหรับกัวลามาไทย |
เมนูสำหรับขาไปกัวลาคือไฟล์ทนี้ |
Beverage เด็ดสุดคือ Teh Tarik อารมณ์ชาชักบ้านเรา |
บรรยากาศดี๊ดี |
Panaeng Chicken Curry เด็ดสุดคือพุดดิ้งมะม่วง |
Sit-fried Shrimp เหมาะสำหรับเริ่มต้นเดินทางแล้วอยากเลี่ยงของเผ็ด |
South African Roiboos Tea ล้างปากได้ดี |
บินสักพักก็มาถึงมาเลเซียเวลาประมาณ 13:30 ตามเวลาท้องถิ่น สิ่งที่ชอบของสนามบินมาเลเซียคือ Wifi Free ที่สามารถต่อได้โดยไม่มีเงื่อนไขอะไรเลยนี่แหละ หลังจากออกมาก็จะพบ KLIA Regional Golden Lounge ใกล้ ๆ ซึ่งจากที่หาข้อมูลพบว่า วันที่ 1/3/2018 ก็คือวันที่ไปจะเริ่มเปิดให้บริการ KLIA Satellite ซึ่งใหญ่กว่า หรูกว่า ตอนแรกกะว่าจะลองเข้าที่นี่ดูก่อนแล้วค่อยไป ปรากฏตอนไปติดต่อ พนักงานต้อนรับบอกว่า Boarding ที่ลูกค้าถืออยู่ให้ไปที่ Satellite ที่เปิดใหม่เลยดีกว่า Better กว่า แถมอยู่ใกล้ Gate ที่จะไปอินเดียวด้วย ซึ่งอยู่อีกอาคารก็เลยอดเข้า -3-
ไม่เป็นไร Go Go ต่อ ไปรอขึ้นรถไฟฟ้าเชื่อมภายในอาคาร (หรูแค่ไหน ไม่ใช่ Shuttle Bus นะครับ) พาไปอีกอาคาร ซึ่งที่อาคารนี้เราสามารถใช้บริการได้ 2 lounge คือ
1.) KLIA Satellite ของ Malaysia Airline และ
2.) Cathay เจ้าเก่า
เนื่องจากมีแค่ 2 ที่เลยแพลนว่าวันแรกเข้า Satellite ก่อน ส่วนขากลับเข้า Cathay
KLIA Satellite Lounge: หรูหรามาก กว้างสุด ๆ มีความเป็นส่วนตัวมาก แต่เนื่องจากว่าเพิ่งเปิดใหม่ ของต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ทยอยลง และยังดูน้อยอยู่ หลัก ๆ ก็จะมี Salad Bar, Buffet Bar, Noodle, Dessert และพวกชา กาแฟสดต่าง ๆ พักผ่อนสบายนะ แต่อาหารเฉย ๆ กินได้เรื่อย ๆ แต่น้อยไปนิด เครื่องดื่มที่ไม่ใช่น้ำอัดลม ชา กาแฟ ไม่ค่อยโดน
หลังจากพักผ่อนหย่อนใจเต็มอิ่มแล้ว 17:30 ตามเวลาท้องถิ่นก็มุ่งหน้าสู่นิวเดลีกัน ที่นั่ง Business ที่ได้จะอยู่ทางฝั่งซ้ายของเครื่อง ซึ่งเพิ่งมารู้ทีหลังว่าฝั่งขวาจะกว้างกว่ามากมีที่วางของ 2 ฝั่งเลย (แต่ดันเลือกฝั่งซ้ายทั้งขาไปและกลับ T^T)
Golden Lounge Regional จะอยู่ใกล้กับจุดที่ลงมาจากเครื่อง แต่ถูกไล่ให้ไปใช้ Satellite =w=" ก็เค้าอยากลองอ๊ะ |
Golden Lounge Satellite จะอยู่อีกอาคารต้องขึ้นรถไฟฟ้าข้ามไป ข้อดีคืออยู่ในอาคารที่จะขึ้นเครื่องไปอินเดียต่อเลย |
ช่างกว้างใหญ่และไพศาลยิ่งนัก คนก็น้อย (เพราะเพิ่งเปิดวันแรกด้วย) |
หรูหรามาก |
ห้องน้ำก็เริ่ด |
บะหมี่จืด ๆ มีดีที่เครื่องเยอะ |
อาหารน้อย ๆ มีให้เลือกไม่เยอะ |
มีที่จะ Local แล้วถูกปากหน่อยก็พวกแกงกินกับแป้งทอด |
ของหวานมีอยู่แค่ 2 อย่างเอง -3- |
จากการถูกเรียนขึ้นเครื่องก่อนเหมือนเดิมคือมี Welcome Drink แต่สำหรับไฟล์ทเดินทางไกล แน่นอนว่าที่นั่งแสน Exclusive ทั้งสบาย ปรับได้เต็มที่ถึงระดับนอนขนานพื้น ไหนจะยังมีระบบนวดอีก ระหว่างรอคนขึ้นเครื่องก็ดูหนังเพลิน ๆ ไป ซึ่งมาเลเซียแอร์ไลน์อัพเดทหนังไวมาก ถูกใจสุด ๆ (เสียอย่างเดียวคือหนังจะตัดเนื้อหาบางส่วนเนื่องจากเป็นชาติมุสลิม) หลังจากบินไปสักพักแอร์ก็จะมาเสิร์ฟ ไก่และแกะสะเต๊ะ (เรียกชื่อไม่ถูก lol) รสชาติดีใช้ได้เลย หลังจากนั้นก็จะเริ่มเสิร์ฟอาหารก็เลยเลือกพวกแผ่นแป้งทอดต่าง ๆ อาหารที่ได้เป็นไก่ย่างกับ Masala ธัญพืชกินได้เรื่อย ๆ แต่ที่เด็ดเลยคือของหวานเป็นเค้กมะม่วงที่หอม นุ่ม ชอบมากกกกกกกก มีท็อปปิ้งเป็นพวกตระกูลเบอร์รี่เปรี้ยว ๆ มาตัดรสชาติ สุดท้ายก็จบด้วย Hot Drink ครั้งนี้ไม่พลาดขอ Teh Tarik เรียบร้อย ดีงาม (ระหว่างนี้อยากได้อะไรก็ขอได้เรื่อย ๆ มีปุ่มเรียกพร้อม)จากนั้นก็ดูหนังเพลิน ๆ จนเผลอหลับไป มาอีกทีคือแอร์มาปลุกให้ ปรับเบาะตรง และ Fasten Seat Belt ซึ่งจะเป็บแบบ 3 จุดเหมือนรถยนต์ Landing มาถึงอีกทีเกือบ ๆ เที่ยงคืน ดีเลย์ไปประมาณชั่วโมงหนึ่ง
Biz Class ที่ใฝ่ฝัน !!! |
ที่ชาร์จพร้อม แถมเก้าอี้นวดได้อีกตะหาก |
Welcome Drink ตามสูตร |
สะเต๊ะไก่และแกะ |
แป้งที่ม้วน ๆ กรอบ ๆ หอมเครื่องเทศมีเผ็ดพริกไทกำลังดี |
กลิ่นเครื่องเทศหอมฉุยเลย เนื้อไก่แอบแข็งไปนิด |
Teh Tarik คือ The Best >< |
หลังจากผ่าน ตม และออกมาจากสนามบินก็มาจุดนัดพบที่นัดกับทางโรมแรมให้ส่งคนมารับ ปรากฏว่าหาไม่เจอ ไม่มีป้ายเขียนชื่อพวกเราอยู่ ก็เลยต้องไปใช้โทรศัพท์สาธารณะที่อยู่ในรั้วก่อนออก (มีให้พร้อมแปลว่าเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อย) เสียไป 50 รูปี (25 บาท) สักพักก็มารับขับ ๆ ไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงโรงแรม The Prime Balaji Deluxe มาถึงก็มี Welcome Drink ให้เป็นน้ำมะม่วงชื่นใจดี สาเหตุที่เลือกโรงแรมนี้เพราะว่าอยู่ติดกับสถานีรถไฟนิวเดลี จะได้เดินทางไป Mathura ได้สะดวกในตอนเช้า โรงแรมค่อนข้างกว้างและดี พักผ่อนสบาย หลังจากจัดกระเป๋าเตรียมชุดอาบน้ำเสร็จ ก็นอนเอาแรงเตรียมเดินทางพรุ่งนี้สู่ Mathura ตะลุยเทศกาล Holi
ไฟสว่างมาก ขนาดดึกละนะ |
บรรยากาศสนามบิน |
เจ้าตู้ 50 รูปี ช่วยแก้ไขปัญหาไม่เจอคนขับได้เป็นอย่างดี |
น้ำมะม่วง หวานกำลังดี |
รังที่พักคืนนี้ กว้างใช้ได้ ราคาดีอยู่ติดสถานีรถไฟ |
วันที่ 2 ตะลุย Mathura ไปกับ Holi Festival (02 Mar’18)
6:30 จ่ายเงิน Check Out ออกจากโรงแรมเดินไปขึ้นสถานีรถไฟ ทริปนี้คณะได้ทำการซื้อตั๋วล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วเป็นแบบ First Class มีอาหารเสิร์ฟให้พร้อม หลังจากผ่านด่านตรวจกระเป๋าก็ไปชานชาลาที่ระบุไว้ในตั๋ว มีกระดาษติดรายชื่อคนจองไว้ให้ด้วย เลยค่อนข้างมั่นใจว่าถูกชัวร์
เดินไต่ ๆ ไปสถานีรถไฟยามเช้ามืด |
คนจรนอนเต็มไปหมด สถานีคึกคักมาก |
เดินไล่หา เห็นสภาพดูเก่าแต่เป็นรถไฟฟ้านะฮะ |
หลังจากไล่หาอยู่นานเกือบไปผิดฝั่ง ขึ้นมาปุ๊บไม่ถึง 2 นาทีจากเวลารถออกเลน ตรงเวลามาก! |
สภาพรถภายในจะดูโทรม ๆ หน่อย |
![]() |
ตัวนี้ใบรายชื่อที่จองมาตั้งแต่ที่ไทย ใช้สกิลสังเกตอาจจะดีกว่าถามพนักงาน บางทีก็มั่ว |
ว่ากันด้วยสถานีรถไฟอินเดียบางคนอาจจะติดภาพว่าคนอินเดียวิ่งปีนขึ้นเกาะหลังคารถไฟ ขอบอกว่าลืมภาพนั้นไปได้เลย รถไฟเค้าแม้ว่าตู้จะเก่าแต่ระบบเป็นไฟฟ้าทั้งหมดและตรงต่อเวลามาก ๆ มีเวลาขึ้น-ลง แค่ 2 นาทีเท่านั้นเอง แต่อย่างไรก็ตามผู้คนที่หลากหลายก็จะพบคนจรจัดนอนอยู่ทั่ว ๆ ไปก็ยังเป็นภาพที่เคยนึก เคยเห็นยังคงอยู่
หลังจากขึ้นรถไฟก็จะมีอาหารมาเสิร์ฟเรื่อย ๆ เป็นพวกขนมปัง ชา มี Butter Milk ผสมเครื่องเทศ (ที่ไม่อร่อยเลย) คอร์นเฟลค น้ำขวดใหญ่ มันบดผสมเครื่องเทศทอด เดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาทีก็มาถึง Mathura Junction เมืองมธุรา
ประเดิมด้วย Butter Milk มีเครื่องเทศด้วย แปลกดี |
ชาร้อนพร้อมบิสกิต |
คอนเฟรตและกล้วย |
มันบดอบเครื่องเทศ |
จากนั้นก็เปิด Maps.Me เดินออกจากสถานีเพื่อจะไป Bag Drop ที่โรงแรม Centrum Hotel By Brijwasi ที่อยู่ติดกับสถานีที่สุดและดีที่สุดในละแวกนั้น ตอนต้นด้วยความงกกลัวโดนโกงเลยเดินเอา ไม่ไกลมาก 1.2 km แต่มารู้ทีหลังว่าค่าเดินทางโคตรถูกเลยอย่างมากก็ 150 รูปี หรือ 75 บาท/4 คน แบกเป๋าเดินให้เมื่อยทำไมก็ไม่รู้
สภาพสถานีคนละเรื่องกันเลยระหว่างเมืองใหญ่กับเมืองเล็ก |
แต่ก็กว้างและสะอาดกว่าที่คาดไว้มาก |
สภาพตัวสถานีอุดมไปด้วยคนจรเช่นเดิม |
บรรยากาศดู Local แบบชนบท |
เดิน ๆ ไปทางที่โรงแรมตั้ง บ้านเรือนมีน้อยมาก ถ้ามีก็ประมาณนี้ |
สวัสดีเพื่อน อย่าขวิดเรานะ ยังไม่ทันได้เที่ยวเลย lol |
เดินสัก 1.2 km ก็ถึงตัวเมือง โรงแรมก็อยู่ตรงหน้าเลยหาไม่ยาก |
หลังจาก Bag Drop เสร็จก็เปลี่ยนเสื้อเตรียมลุย ครั้งนี้ใช้เสื้อขาวห่านคู่ จะได้เก็บเสื้อเป็นที่ระลึกลายสวย ๆ มาถึงก็โบกรถไปวัด Shri Dwarikadheesh Mandir ที่เป็นแหล่งเล่นสาดสีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ ลุงโชเฟอร์เค้าเรียก 150 รูปี แต่พอไปถึงปรากฏว่าลุงไม่มีทอนเงิน 500 รูปี ก็เลยให้ไปเลย เพราะเห็นว่ามาส่งให้ถึงเกือบหน้าวัดเทียบกับระยะทางแล้วก็รับได้ (ตามจริงก็ให้เยอะเกินไปจนลุงรู้สึกผิด ไม่กล้ารับเงินถึงขนาดเปิดกระเป๋าตังค์มาให้ดูว่าไม่มีทอนนะ มีแค่แบงค์ร้อยกับเศษ ๆ เงิน =w=”)
ระหว่างทางเดินเค้าไปตัวเปล่า ๆ ไร้ซึ่งอาวุธผงสีใด ๆ ก็จะเริ่มโดนสาด เนื่องจากงานในวัดจะเริ่มประมาณ 10 โมงถึงจะเข้าไปได้ ก็เลยเดินรอบ ๆ ดูแม่น้ำคงคาทุกอย่างก็ดูปกติ ชิล ๆ ดี แต่ขากลับไปวัดนี่สิ โดนเด็กมือบอนฉีดสเปรย์เข้าเต็มหน้า โดนฉีดน่ะไม่เท่าไรแต่สีที่โดนนี่สิ ดันเป็นสีฟ้า เอาซะหน้านี่มืด ดำเมี่ยมเลย ถ่ายรูปแถบไม่ขึ้นจนตอนหลังต้องไปเอาสีสว่าง ๆ มาโปะหน้า
หลังจากวกกลับมาไปหาผงสีจัดสีชมพู แดง เหลืองมาแล้วก็พร้อมลุยเดินผ่านใครก็ Happy Holi ปะหน้า ป้ายกันไป ผงสีไม่เท่าไรก็เล่นกันสนุก ๆ สบาย ๆ ที่น่ากลัวที่สุดคือพวกสีสเปรย์นี่แหละนอกจากอันตรายแล้วยังล้างออกยากอีกตะหาก แถมที่น่ากลัวในระหว่างทางเดินอีกอย่างคือ บอมบ์จากชั้นบนระหว่างทางของบ้านต่าง ๆ แถบนั้น เดิน ๆ อยู่มระวังนี่โดนน้ำผสมสีสาดลงมาเต้มตัวได้เลยจ้า พื้นก็ลื่นจะรีบเดินมากก็ไม่ได้ วัดดวง ใช้สกิลเอาตัวรอดเอา
หลังจากสนุกสนานรายทางแล้วก็มาถึงหน้าวัด ก่อนจะเข้าต้องทำการถอดรองเท้าก่อนซึ่งน่าหวาดเสียวว่าจะหายมาก ๆ
บรรยากาศตอนเดินเข้าซอยไปในวัด |
มีขายดอกไม้บูชาด้วย แต่เหมือนจะขายไม่ค่ยออกแฮะ |
วัดยังไม่เปิดเลยแอบมาเดินเลียบแม่น้ำคงคา |
ดูมีหมอกตัดกับแสงแรง ๆ แต่อากาศเย็น ๆ ก็ดูผ่อนคลายดี |
บรรยากาศตึกรอบ ๆ นั้น |
แฮร่! หน้าดำไปแล้วจ้า TmT |
มีคนโดนจัดหนักตั้งแต่เริ่มงาน |
Mr.Blue & Mr.Red |
รูปปั้นขององค์เทพสักองค์ |
เห็นเค้าบูชาแต่หาได้รู้ไม่ว่าคืออะไร |
ซุ้มประตูสวยดี เหลืองอร่ามเชียว |
เดินมาเจอกลุ่มหนึ่งกำลังร้องรำทำเพลงเลย ส่วนกองขี้เถ้ามุมขวาคือกองขี้วัวจ้า เห็นมีคนหยิบมาพรมตัวด้วย |
นี่ก็อีกแก๊ง ก็จะเละ ๆ หน่อย |
หาอาวุธ!!! |
คนเริ่มเยอะ ๆ |
ยังไม่ทันเข้าวัดเลย เละไปละ (เทียบกับพี่แขกข้างหลัง 555+) |
หลังจากเข้าไปก็จะเจอฝูงชนมากมาย เต้น ๆ ร้อง ๆ ภาษาบ้านเค้าไป เราก็เนียน ๆ ตามไป ถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอบ้าง แต่สงสัยเพราะเป็นชาวต่างชาติ แถมโดนจัดหนักมากกว่าคนท้องถิ่นเลยเละตุ้มเป๊ะ เละขนาดที่ว่าคนท้องถิ่นเดินมาถ่ายรูปเป็นระยะ ๆ พวกตากล้องสื่อเองก็มาขอถ่ายด้วย lol ก็สนุกสนาน สาดสีมันส์ ๆ ในวัดไปเรื่อย ๆ จนหนำใจ
แก๊งอินเดีย |
พี่ข้างหลัง พี่หลุดมาได้ไง ไม่โดนอยู่คนเดียว! |
ฟุ้งเว่อ ๆ |
หน้ายังคงดำ T^T |
พวกผงสีพอใส่ Contrast แล้วสดดีมาก |
คนเยอะมว๊ากกกกกก |
สาวเอเชียก็มานะฮะ |
โป๊ะหน้าตัวเองจนเหลืองอ๋อยแทน 555 |
นั่งนี้ไม่ใช่ไรนะ เหนื่อย แก่แล้ว lol |
เสื้อท่าทางจะสวยได้ทีละ :D |
บรรยากาศเสียงเพลง ครื้นเครงมาก ๆ |
ปาผงสี ฟู่ว ๆ เป็นระยะ |
เจอชาวยุโรปก็ขอถ่ายภาพซักแชะ |
So Colorful |
So Contrast |
เอิ่ม สภาพรองเท้า เละพะยะค่ะ |
ประมาณเที่ยง ๆ ก็ออกจากวัดฝ่าสมรภูมิดิบเถื่อนมาขึ้นรถกลับที่พัก ซึ่งฝั่งตรงข้ามจะมีร้านอาหารแต่เค้าบอกว่ามีแต่พวกแป้งโรตีทอดกับแกงมังสวิรัติ ก็โอเคจัดไป แป้งโรตีทอดอร่อยมาก ๆ ขอเพิ่มแล้วเพิ่มอีก น้ำที่มีให้กินก็หลากหลายดีราคาถูก หลังจากนั่งพักผ่อนหย่อนใจแล้วก็ออกจากร้านแวะซื้อไอติมกิน แล้วก็เข้าไปรอที่ Lobby จนกระทั่งประมาณบ่าย 2 ถึงสามารถเข้าไปพักได้
Choley Bhature( มันคือ โชเล บัตตูเร เพิ่งมารู้ตอนหลัง) |
เห็นเค้ากินก็ลอง อารมณ์แบบธัญพืชใส่กับโยเกิร์ตเปรี้ยว ๆ |
มะนาวโซดา อร่อยดี |
น้ำมะพร้าวก็จะจืด ๆ หน่อย |
ดับร้อนด้วยไอศครีมรถเข็น |
ลุงพยายามหยิบพรีเซนต์เต็มที่ |
มะม่วงน่าลองแปลกดี หวาน ๆ หน่อย |
บรรยากาศวิวชั้นบน ระหว่างรอจัดห้อง |
สวรรค์ อาบน้ำเสร็จแล้วขอนอนยาว ๆ เลยละกัน |
อาบน้ำล้างตัว ล้างแล้วล้างอีก ล้างอยู่นานมากจนพอสะอาด ก็นอนหลับพักผ่อน ตื่นกันอีกทีก็ 2 ทุ่ม ลงไปกินข้าวที่ร้านอาหารของโรงแรมที่วุ่นวายมาก เป็นระบบซื้อแล้วเอาบิลใบเสร็จไปยื่นแล้วจะให้เครื่องเรียกมา เหมือนจะดูดีซึ่งชุดแรก เป็นชุดลองเชิงดูรสชาติ โชคดีที่คนยังไม่เยอะเลยได้เร็ว แต่ชุดที่ 2 ที่ไปสั่งคนมาเยอะรอนานไม่พอ มีผู้จัดการที่มาแทรกแซงลูกน้องที่ทำ ๆ กันอยู่ พาป่วน บิลหายบ้าง ไรบ้าง มั่วไปหมด จนได้อาหารไม่ครบ
อาหารที่กินเนื่องจากมากัน 4 คน แถมที่เมืองนี้ก็เป็นมังสวิรัติล้วน ก็ต้องพยายามสั่งแบบที่กินกันได้ก็มีสั่งทั้งหมด 3 แบบใหญ่ ๆ คือ
1. Chinese Noodle - 130 รูปี จัดเป็นไม่ต้องคิดมาก เมนูเส้น ๆ ผัด ๆ น่าจะรอดหน่า
แต่ปรากว่าพอกินไปหลัง ๆ ข้างล่าง โ-ค-ต-ร เค็ม!!! คือเหมือนเค้าผัดรวม ๆ แล้วมาตักแบ่ง ซอสที่โกย ๆ มาก็เลยเข้มมาก แต่ก้พอประทังได้
2. Choley Bhature (โชเล บัตตูเร) - 120 รูปี ถ้าแปลตรงตัวก็คือ แกงถั่ว กับแป้งบัตตูเร มีลักษณะเป็นแป้งทอดพอง ๆ กินคู่กับแกงถั่ว ตัวนี้แป้งอร่อยมาก ๆ คือกินแกงถั่วตอนร้อน ๆ นี่เจ๋งเลย แต่พอผ่านไปสักพักถ้าไม่รีบกินตัวแป้งจากกรอบ นุ่ม อร่อย จะค่อย ๆ เหนียวขึ้นเรื่อย ๆ และไม่น่ากินในที่สุด
1. Chinese Noodle - 130 รูปี จัดเป็นไม่ต้องคิดมาก เมนูเส้น ๆ ผัด ๆ น่าจะรอดหน่า
แต่ปรากว่าพอกินไปหลัง ๆ ข้างล่าง โ-ค-ต-ร เค็ม!!! คือเหมือนเค้าผัดรวม ๆ แล้วมาตักแบ่ง ซอสที่โกย ๆ มาก็เลยเข้มมาก แต่ก้พอประทังได้
2. Choley Bhature (โชเล บัตตูเร) - 120 รูปี ถ้าแปลตรงตัวก็คือ แกงถั่ว กับแป้งบัตตูเร มีลักษณะเป็นแป้งทอดพอง ๆ กินคู่กับแกงถั่ว ตัวนี้แป้งอร่อยมาก ๆ คือกินแกงถั่วตอนร้อน ๆ นี่เจ๋งเลย แต่พอผ่านไปสักพักถ้าไม่รีบกินตัวแป้งจากกรอบ นุ่ม อร่อย จะค่อย ๆ เหนียวขึ้นเรื่อย ๆ และไม่น่ากินในที่สุด
3. Masala Dosa - 105 รูปี หน้าต่างดูผ่าน ๆ เหมือนเครป แต่ข้างในจะเป็นแกง Masala มันฝรั่งและเครื่องเทศ กินตอนร้อน ๆ ก็อร่อยดี กินคู่กับน้ำจิ้ม แซมบา (แกงสีแดง) และ ซัดนี่ (แกงสีขาว) ซึ่งจากสไตล์พี่ไทยพบว่าการเอา Dosa ไปจุ่มกับแกงของเมนูที่ 2 นั้นให้รสชาติที่น่าพึงพอใจเป็นที่สุด
หลังจากนั้นแอบลองของหน่อยเลยไปสั่งน้ำที่ชื่อว่า Slush ที่แปลว่าโคลน ในราคา 33 รูปี รูปที่เห็นก่อนสั่งอารมณ์เหมือนน้ำส้มเกล็ดน้ำแข็งบ้านเราดูว่าจะเป็นไง ผลคือไปยืนรออยู่กับเมนูชุดที่ 2 กับพี่โคตรนาน แถมของที่ได้สุดท้ายก็คือน้ำส้มเกล็ดน้ำแข็งรสชาติกาก ๆ
หลังจากนั้นพอกินเสร็จพยายามจะออกมาดูว่ามีอะไรให้เดินเล่นได้บ้างไหม ซึ่งพบว่ามีอาหารข้างทางแบบ Local ที่น่าลิ้มลองมากกว่าอีก T___T ราคาก็ถูกกว่ากันครึ่ง ๆ (ถึงแม้ที่กินไปก็ยังรู้สึกว่าถูกก็ตาม) แต่เพราะอิ่มแล้วจะลองก็ไม่ไหว แถมดู ๆ ไปก็พบว่าจุดที่เราอยู่นี่แหละเจริญสุดแล้ว นอกนั้นเงียบเชียบ เลยตัดสินใจหาอะไรเบา ๆ หรือ ของหวานกินดีกว่า
มีแวะซื้อขนมเลย์รส Magic Masala รสชาติก็โอเคกินได้ไม่หวือหวาอะไร กับซื้อน้ำผลไม้มาซึ่งรู้สึกว่าที่นี่ถ้าเป็นน้ำผลไม้รสชาติจะออกหวานไปหน่อย สุดท้ายไปป๊ะกับร้านขายของที่ผสมผสานระหว่างไอศตรีมกับโยเกิร์ต? ก็เลยลองแวะดูมี 2 รสชาติ หอมนมใช้ได้ ไม่หวานจนเกินไป เห็นมีบางคนสั่งเป็นอารมณ์โฟลท คือ ใส่น้ำ (ที่คาดว่าจะเป็น Larsi) แล้วค่อยโปะไอศครีมไป ถ้าไม่ติดเรื่องความสะอาดในบางที่และไม่เรื่องมากกับอาหาร อินเดียก็เป็นเมืองที่ของถูกและอยู่ง่ายเหมือนกันนะ กินอิ่มแล้วก็ตัดสินใจกลับเข้าที่พักเตรียมเดินทางต่อไปยังทัชมาฮาลในวันพรุ่งนี้
มาดู ๆ ว่าเค้าสั่งกันยังไง อะไรน่ากินบ้าง |
มีข้าวด้วย แต่่ข้าวเมืองอื่นหรอ.... |
ดูหน้าตาแล้วถ่ายรูปไว้แล้วมาสั่งที่เคาท์เตอร์ |
Masala Dosa แป้งอร่อยหอมมาก |
บะหมี่จีน อารมณ์บะหมี่ผัดตอนกินเจแต่ข้างล่างโคตรเค็ม |
Choley Bhature |
ข้างในโปร่ง ๆ กินตอนร้อน ๆ เท่านั้น |
ซัดนีซอสสีขาวกินกับ Masala Dosa แน่นอนว่ามีกะทิ |
แซมบาซอสสีขาวกินกับ Masala Dosa เครื่องเทศจะหอม ๆ หน่อย |
เนื้อด้านในของ Masala Dosa มีมันด้วย |
Slush ที่รสชาติแบบส้มเกล็ดน้ำแข็งหน้าโรงเรียน 10 บาท |
เลย์รส Masala หอมเครื่องเทศดี แต่ไม่เข้มเท่าไร กินเพลิน ๆ |
ร้านไอศครีมขาวคู่กับ Larsi |
ไอศครีมหอมนมและชาดี ชอบมาก |
ร้านข้าว Local |
เห็นตัก Masala ร้อน ๆ แล้วรู้สึกเสียดายอ่ะ TT |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น