วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Holi Festival - India Trip 2018 (Part I)

Holi Festival in Shri Dwarikadheesh Mandir, Mathura 

ในที่สุดก็ได้มีเวลามาปั่นรีวิว Trip India2018 นี้ซักที
ครั้งนี้เป็นมินิทริปสั้น ๆ แต่ 4 วัน รวมเดินทาง เพื่อไปร่วมงานเทศกาลสาดสี Holi Festival แต่ครั้งนี้พิเศษแตกต่างจากทริปแบกเป้อื่น ๆ คือ……ได้ตั๋ว Business Class ในราคา Economy *_____*!!!! /0/ ฮูเร่ เป็นตั๋วหลุดของสายการบิน Malaysia Airline นั่นเอง ถือเป็นของขวัญวันเกิดปีนี้ไปในตัวเลย เดินทาง 1 วันถัดจากวันเกิด (เพราะตอนจองดันเน้นตรงกับวันหยุดเข้าว่า =w=”)

อ่ะ ๆ ก่อนไปถึงรีวิว หลายคนอาจจะเคยได้ยินข่าวเครื่องบินของสายการบินนี้ที่หายสาบสูญและอาจจะรู้สึกว่าเสี่ยง ไม่กล้าไปแต่ในทางกลับกันแปลว่าคุณมีโอกาสที่จะได้รับของราคาดี ๆ เพราะคงไม่มีโอกาสเกิดบ่อยซ้ำ ๆ ขนาดนั้นหรอก ในทางกลับกันมาตรการยิ่งต้องเข้มงวดขึ้นด้วยซ้ำ แต่ก็แล้วแต่มุมมองคนล่ะนะ ต่อ ๆ เดี๋ยวหลุดประเด็น

ตั๋วที่จองครั้งนี้ไม่ใช่บินตรง Bangkok – New Delhi แต่เป็นการ Transit ไปต่อเครื่องที่ Kuala Lumpur ถามว่าทำไมถึงยอมช้า เพราะว่าเราสามารถนั่ง Business Class ได้ถึง 4 Flights!!! แถมเรายังสามารถเข้า Lounge ของทุกสายการบินที่อยู่ในเครือ One World ได้นั่นเอง เพราะฉะนั้นทริปนี้ดูเหมือนจะเป็นการ Tour Lounge One World ส่วนอินเดียเหมือนเป็นของแถมไปซะงั้น lol

วันแรกของการเดินทาง 01 Mar 2018
เป็นทริปที่แสนชิล เริ่มต้นจากสนามบินสุวรรณภูมิหลังจาก Check In เรียบร้อย เป้าหมายของวันแรกมีทั้งหมด 4 Lounge คือ JAL, Qatar, Cathay และ Miracle แต่……เนื่องจากไปสายเวลาไม่พอจึงต้องตามไปสมทบกับพี่ ๆ ที่ Lounge ของ Cathay แทน TwT

Premium Lane ที่อย่าใช้เลยในเมืองไทยคนเยอะ ไม่ต่างกับ Lane ปกติ

JAL’s Lounge: สายการบินของญี่ปุ่น อาหารจะเป็นพวกข้าวราดแกงกะหรี่ที่รสชาติพี่ ๆ เค้าก็ดี แต่ไม่มีบุญได้ชิม TmT

Cathay’s Lounge: เป็นสายการบินของฮ่องกง ดังนั้นลักษณะอาหารจะเป็นสไตล์เอเชีย ก็จะมีพวกบะหมี่เกี๋ยว ผัดหมี่ ผัดไท และติ่มซำ อาหารค่อนข้างหลากหลายและถูกปากอยู่ แม้ว่าสถานที่ภายในจะดูแคบไปนิดแต่ก็พักผ่อนได้สบาย
แท่นแแท๊น Cathay Lounge ซึ่งกินเพลินเพราะหิว ลืมถ่ายรูป!!!

Qatar’s Lounge: ยังไม่เปิดให้บริการ ข้ามไป

Miracle Lounge: เลาจ์นของเอกชนที่ดีงามมาก !!! ภายในกว้างและหรูหรา นอกจากอาหาร Buffet ที่มีให้เลือกสรรทั่ว ๆ ไปแล้วจะมีอาหารที่เตรียมใหม่ ๆ คือ ข้าวมันไก่ และ ข้าวหน้าเป็ด ไซส์น้อย ๆ พอดี ๆ ให้สามารถลิ้มรสชาติอาหารอื่น ๆ ต่อได้


Map ทางไป (พวกตระกูล One World อยู่ในโซนเดียวกันหมด)

บรรยากาศภายใน กว้างดี มีทั้งบุฟเฟต์ และ  Made to Order

ลองซุปและพวก Breakfast Theme ซุปเห็ดอย่างเริ่ด

มีข้าวมันไก่ และ ข้าวหน้าเป็ด เป็ดใช้ได้อยู่แต่ไมไ่ด้ว๊าวขนาดนั้น


หลังจากที่เพลิดเพลินกับ Lounge ต่าง ๆ ที่พึงจะเข้าได้ทั้งหมดก็ถึงเวลา Take Off แล้ว ความรู้สึกของการที่ถูกเรียนขึ้นเครื่องก่อนมันดีอย่างนี้นี่เอง คือ ไม่ใช่แค่ขึ้นไปนั่งโง่ ๆ แต่ Business Class สำหรับไฟล์ทสั้น ๆ จะได้รับ Welcome Drink ระหว่างรอ Take Off ด้วย ซึ่ง Signature Drink ของมาเลเซียก็คือ Pink Guava หรือ ฝรั่งสีชมพูนั่นเอง (รสชาติก็น้ำฝรั่งทั่ว ๆ ไปแหละ แต่แค่ปกติเราจะเห็นเสิร์ฟแต่น้ำสม หรือ น้ำแอปเปิ้ล เท่านั้นเอง) ส่วนที่นั่งก็แสนสบายไม่คุดคู้ รู้สึกผ่อนคลาย 

Apple & Pink Guava Juice

หลังจากที่ Take Off แล้วสักพักก็จะถึงเวลาอาหารโดยช่วงที่บินประมาณ 11:30 ตามเวลาท้องถิ่น ก็จะได้ Set All Day Dining มา ประกอบด้วย
Starters: Garden Salad
Main Course: มี 3 อย่างให้เลือก
1.) Panaeng Chicken Curry
2.) Stir-fried Shrimp
3.) Grilled Beef Fillet
Dessert: Thai Mango Pudding
เนื่องจากเป็นขาไป กลัวท้องจะมีปัญหาเลยจัด Stir-fried Shrimp ไปแทน
ของที่มาเสิร์ฟก็โอเคอร่อยดี มีทั้งขนมปัง สลัด ตัวเมนคอร์ส แต่….ทำไมของเรากลายเป็นผลไม้แทนพุดดิ้งมะม่วงล่ะ =___=” หรือ ตอนนั้นเราแจ้งในเว็บไว้ว่า เอาผลไม้แทนของหวานเนี่ย (เมนูอาหารต่าง ๆ จะสามารถเลือกได้ในหน้าเว็บ รวมถึงที่นั่งด้วย ถ้ามีอาหารอะไรที่แพ้ก็แจ้งก่อนล่วงหน้าได้เลย) ไม่เป็นไรชิมของพี่ข้าง ๆ เอาก็ได้ ซึ่งรสชาตินี่แหล่มมาก แนะนำเลยเป็น Signature ยิ่งกว่าน้ำ Pink Guava อีก
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็จะมี Hot Drink มาให้เสิร์ฟอีกที มีทั้งชา กาแฟ หรือ จะรับเครื่องดื่มอื่น ๆ ก็ได้ (ตามจริงก็ขอได้ตลอดแหละ แล้วแต่ต้องการ) ก็เลยลอง South African Rooibos Tea ดู ให้ความรู้สึกแบบชาแดงแฮะ ไม่ค่อยโดน  รู้งี้น่าจะสั่ง Teh Tarik หรือ เต๊ะ ตาลิค แปลเป็นไทยก็คือ ชาชัก น่ะแหละ



เมนูสำหรับกัวลามาไทย

เมนูสำหรับขาไปกัวลาคือไฟล์ทนี้

Beverage  เด็ดสุดคือ Teh Tarik อารมณ์ชาชักบ้านเรา

บรรยากาศดี๊ดี

Panaeng Chicken Curry เด็ดสุดคือพุดดิ้งมะม่วง


Sit-fried Shrimp เหมาะสำหรับเริ่มต้นเดินทางแล้วอยากเลี่ยงของเผ็ด

South African Roiboos Tea ล้างปากได้ดี

บินสักพักก็มาถึงมาเลเซียเวลาประมาณ 13:30 ตามเวลาท้องถิ่น สิ่งที่ชอบของสนามบินมาเลเซียคือ Wifi Free ที่สามารถต่อได้โดยไม่มีเงื่อนไขอะไรเลยนี่แหละ หลังจากออกมาก็จะพบ KLIA Regional Golden Lounge ใกล้ ๆ ซึ่งจากที่หาข้อมูลพบว่า วันที่ 1/3/2018 ก็คือวันที่ไปจะเริ่มเปิดให้บริการ KLIA Satellite ซึ่งใหญ่กว่า หรูกว่า ตอนแรกกะว่าจะลองเข้าที่นี่ดูก่อนแล้วค่อยไป ปรากฏตอนไปติดต่อ พนักงานต้อนรับบอกว่า Boarding ที่ลูกค้าถืออยู่ให้ไปที่ Satellite ที่เปิดใหม่เลยดีกว่า Better กว่า แถมอยู่ใกล้ Gate ที่จะไปอินเดียวด้วย ซึ่งอยู่อีกอาคารก็เลยอดเข้า -3-
ไม่เป็นไร Go Go ต่อ ไปรอขึ้นรถไฟฟ้าเชื่อมภายในอาคาร (หรูแค่ไหน ไม่ใช่ Shuttle Bus นะครับ) พาไปอีกอาคาร ซึ่งที่อาคารนี้เราสามารถใช้บริการได้ 2 lounge คือ 
1.) KLIA Satellite ของ Malaysia Airline และ 
2.) Cathay เจ้าเก่า
เนื่องจากมีแค่ 2 ที่เลยแพลนว่าวันแรกเข้า Satellite ก่อน ส่วนขากลับเข้า Cathay

KLIA Satellite Lounge: หรูหรามาก กว้างสุด ๆ มีความเป็นส่วนตัวมาก แต่เนื่องจากว่าเพิ่งเปิดใหม่ ของต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ทยอยลง และยังดูน้อยอยู่ หลัก ๆ ก็จะมี Salad Bar, Buffet Bar, Noodle, Dessert และพวกชา กาแฟสดต่าง ๆ พักผ่อนสบายนะ แต่อาหารเฉย ๆ กินได้เรื่อย ๆ แต่น้อยไปนิด เครื่องดื่มที่ไม่ใช่น้ำอัดลม ชา กาแฟ ไม่ค่อยโดน 
หลังจากพักผ่อนหย่อนใจเต็มอิ่มแล้ว 17:30 ตามเวลาท้องถิ่นก็มุ่งหน้าสู่นิวเดลีกัน ที่นั่ง Business ที่ได้จะอยู่ทางฝั่งซ้ายของเครื่อง ซึ่งเพิ่งมารู้ทีหลังว่าฝั่งขวาจะกว้างกว่ามากมีที่วางของ 2 ฝั่งเลย (แต่ดันเลือกฝั่งซ้ายทั้งขาไปและกลับ T^T)

Golden Lounge Regional จะอยู่ใกล้กับจุดที่ลงมาจากเครื่อง แต่ถูกไล่ให้ไปใช้ Satellite =w=" ก็เค้าอยากลองอ๊ะ
Golden Lounge Satellite จะอยู่อีกอาคารต้องขึ้นรถไฟฟ้าข้ามไป ข้อดีคืออยู่ในอาคารที่จะขึ้นเครื่องไปอินเดียต่อเลย

ช่างกว้างใหญ่และไพศาลยิ่งนัก คนก็น้อย (เพราะเพิ่งเปิดวันแรกด้วย)

หรูหรามาก

ห้องน้ำก็เริ่ด

บะหมี่จืด ๆ มีดีที่เครื่องเยอะ

อาหารน้อย ๆ มีให้เลือกไม่เยอะ

มีที่จะ Local แล้วถูกปากหน่อยก็พวกแกงกินกับแป้งทอด

ของหวานมีอยู่แค่ 2 อย่างเอง -3-

จากการถูกเรียนขึ้นเครื่องก่อนเหมือนเดิมคือมี Welcome Drink แต่สำหรับไฟล์ทเดินทางไกล แน่นอนว่าที่นั่งแสน Exclusive ทั้งสบาย ปรับได้เต็มที่ถึงระดับนอนขนานพื้น ไหนจะยังมีระบบนวดอีก ระหว่างรอคนขึ้นเครื่องก็ดูหนังเพลิน ๆ ไป ซึ่งมาเลเซียแอร์ไลน์อัพเดทหนังไวมาก ถูกใจสุด ๆ (เสียอย่างเดียวคือหนังจะตัดเนื้อหาบางส่วนเนื่องจากเป็นชาติมุสลิม) หลังจากบินไปสักพักแอร์ก็จะมาเสิร์ฟ ไก่และแกะสะเต๊ะ (เรียกชื่อไม่ถูก lol) รสชาติดีใช้ได้เลย หลังจากนั้นก็จะเริ่มเสิร์ฟอาหารก็เลยเลือกพวกแผ่นแป้งทอดต่าง ๆ  อาหารที่ได้เป็นไก่ย่างกับ Masala ธัญพืชกินได้เรื่อย ๆ แต่ที่เด็ดเลยคือของหวานเป็นเค้กมะม่วงที่หอม นุ่ม ชอบมากกกกกกกก มีท็อปปิ้งเป็นพวกตระกูลเบอร์รี่เปรี้ยว ๆ มาตัดรสชาติ สุดท้ายก็จบด้วย Hot Drink ครั้งนี้ไม่พลาดขอ Teh Tarik เรียบร้อย ดีงาม (ระหว่างนี้อยากได้อะไรก็ขอได้เรื่อย ๆ มีปุ่มเรียกพร้อม)จากนั้นก็ดูหนังเพลิน ๆ จนเผลอหลับไป มาอีกทีคือแอร์มาปลุกให้ ปรับเบาะตรง และ Fasten Seat Belt ซึ่งจะเป็บแบบ 3 จุดเหมือนรถยนต์ Landing มาถึงอีกทีเกือบ ๆ เที่ยงคืน ดีเลย์ไปประมาณชั่วโมงหนึ่ง
Biz Class ที่ใฝ่ฝัน !!!

ที่ชาร์จพร้อม แถมเก้าอี้นวดได้อีกตะหาก

Welcome Drink ตามสูตร

สะเต๊ะไก่และแกะ

แป้งที่ม้วน ๆ กรอบ ๆ หอมเครื่องเทศมีเผ็ดพริกไทกำลังดี


กลิ่นเครื่องเทศหอมฉุยเลย เนื้อไก่แอบแข็งไปนิด

Teh Tarik คือ The Best ><

หลังจากผ่าน ตม และออกมาจากสนามบินก็มาจุดนัดพบที่นัดกับทางโรมแรมให้ส่งคนมารับ ปรากฏว่าหาไม่เจอ ไม่มีป้ายเขียนชื่อพวกเราอยู่ ก็เลยต้องไปใช้โทรศัพท์สาธารณะที่อยู่ในรั้วก่อนออก (มีให้พร้อมแปลว่าเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อย) เสียไป 50 รูปี (25 บาท) สักพักก็มารับขับ ๆ ไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงโรงแรม The Prime Balaji Deluxe มาถึงก็มี Welcome Drink ให้เป็นน้ำมะม่วงชื่นใจดี สาเหตุที่เลือกโรงแรมนี้เพราะว่าอยู่ติดกับสถานีรถไฟนิวเดลี จะได้เดินทางไป Mathura ได้สะดวกในตอนเช้า โรงแรมค่อนข้างกว้างและดี พักผ่อนสบาย หลังจากจัดกระเป๋าเตรียมชุดอาบน้ำเสร็จ ก็นอนเอาแรงเตรียมเดินทางพรุ่งนี้สู่ Mathura ตะลุยเทศกาล Holi

ไฟสว่างมาก ขนาดดึกละนะ

บรรยากาศสนามบิน

เจ้าตู้ 50 รูปี ช่วยแก้ไขปัญหาไม่เจอคนขับได้เป็นอย่างดี

น้ำมะม่วง หวานกำลังดี
รังที่พักคืนนี้ กว้างใช้ได้ ราคาดีอยู่ติดสถานีรถไฟ

วันที่ 2 ตะลุย Mathura ไปกับ Holi Festival (02 Mar’18)
6:30 จ่ายเงิน Check Out ออกจากโรงแรมเดินไปขึ้นสถานีรถไฟ ทริปนี้คณะได้ทำการซื้อตั๋วล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วเป็นแบบ First Class มีอาหารเสิร์ฟให้พร้อม หลังจากผ่านด่านตรวจกระเป๋าก็ไปชานชาลาที่ระบุไว้ในตั๋ว มีกระดาษติดรายชื่อคนจองไว้ให้ด้วย เลยค่อนข้างมั่นใจว่าถูกชัวร์
เดินไต่ ๆ ไปสถานีรถไฟยามเช้ามืด

คนจรนอนเต็มไปหมด สถานีคึกคักมาก

เดินไล่หา เห็นสภาพดูเก่าแต่เป็นรถไฟฟ้านะฮะ

หลังจากไล่หาอยู่นานเกือบไปผิดฝั่ง ขึ้นมาปุ๊บไม่ถึง 2 นาทีจากเวลารถออกเลน ตรงเวลามาก!

สภาพรถภายในจะดูโทรม ๆ หน่อย

ตัวนี้ใบรายชื่อที่จองมาตั้งแต่ที่ไทย ใช้สกิลสังเกตอาจจะดีกว่าถามพนักงาน บางทีก็มั่ว

ว่ากันด้วยสถานีรถไฟอินเดียบางคนอาจจะติดภาพว่าคนอินเดียวิ่งปีนขึ้นเกาะหลังคารถไฟ ขอบอกว่าลืมภาพนั้นไปได้เลย รถไฟเค้าแม้ว่าตู้จะเก่าแต่ระบบเป็นไฟฟ้าทั้งหมดและตรงต่อเวลามาก ๆ มีเวลาขึ้น-ลง แค่ 2 นาทีเท่านั้นเอง แต่อย่างไรก็ตามผู้คนที่หลากหลายก็จะพบคนจรจัดนอนอยู่ทั่ว ๆ ไปก็ยังเป็นภาพที่เคยนึก เคยเห็นยังคงอยู่
หลังจากขึ้นรถไฟก็จะมีอาหารมาเสิร์ฟเรื่อย ๆ เป็นพวกขนมปัง ชา มี Butter Milk ผสมเครื่องเทศ (ที่ไม่อร่อยเลย) คอร์นเฟลค น้ำขวดใหญ่ มันบดผสมเครื่องเทศทอด เดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาทีก็มาถึง Mathura Junction เมืองมธุรา 

ประเดิมด้วย Butter Milk มีเครื่องเทศด้วย แปลกดี

ชาร้อนพร้อมบิสกิต

คอนเฟรตและกล้วย

มันบดอบเครื่องเทศ

จากนั้นก็เปิด Maps.Me เดินออกจากสถานีเพื่อจะไป Bag Drop ที่โรงแรม Centrum Hotel By Brijwasi ที่อยู่ติดกับสถานีที่สุดและดีที่สุดในละแวกนั้น  ตอนต้นด้วยความงกกลัวโดนโกงเลยเดินเอา ไม่ไกลมาก 1.2 km แต่มารู้ทีหลังว่าค่าเดินทางโคตรถูกเลยอย่างมากก็ 150 รูปี หรือ 75 บาท/4 คน แบกเป๋าเดินให้เมื่อยทำไมก็ไม่รู้
สภาพสถานีคนละเรื่องกันเลยระหว่างเมืองใหญ่กับเมืองเล็ก

แต่ก็กว้างและสะอาดกว่าที่คาดไว้มาก

สภาพตัวสถานีอุดมไปด้วยคนจรเช่นเดิม

บรรยากาศดู Local แบบชนบท

เดิน ๆ ไปทางที่โรงแรมตั้ง บ้านเรือนมีน้อยมาก ถ้ามีก็ประมาณนี้

สวัสดีเพื่อน อย่าขวิดเรานะ ยังไม่ทันได้เที่ยวเลย lol

เดินสัก 1.2 km ก็ถึงตัวเมือง โรงแรมก็อยู่ตรงหน้าเลยหาไม่ยาก


หลังจาก Bag Drop เสร็จก็เปลี่ยนเสื้อเตรียมลุย ครั้งนี้ใช้เสื้อขาวห่านคู่ จะได้เก็บเสื้อเป็นที่ระลึกลายสวย ๆ มาถึงก็โบกรถไปวัด Shri Dwarikadheesh Mandir ที่เป็นแหล่งเล่นสาดสีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ ลุงโชเฟอร์เค้าเรียก 150 รูปี แต่พอไปถึงปรากฏว่าลุงไม่มีทอนเงิน 500 รูปี ก็เลยให้ไปเลย เพราะเห็นว่ามาส่งให้ถึงเกือบหน้าวัดเทียบกับระยะทางแล้วก็รับได้ (ตามจริงก็ให้เยอะเกินไปจนลุงรู้สึกผิด ไม่กล้ารับเงินถึงขนาดเปิดกระเป๋าตังค์มาให้ดูว่าไม่มีทอนนะ มีแค่แบงค์ร้อยกับเศษ ๆ เงิน =w=”) 

ระหว่างทางเดินเค้าไปตัวเปล่า ๆ ไร้ซึ่งอาวุธผงสีใด ๆ ก็จะเริ่มโดนสาด เนื่องจากงานในวัดจะเริ่มประมาณ 10 โมงถึงจะเข้าไปได้ ก็เลยเดินรอบ ๆ ดูแม่น้ำคงคาทุกอย่างก็ดูปกติ ชิล ๆ ดี แต่ขากลับไปวัดนี่สิ โดนเด็กมือบอนฉีดสเปรย์เข้าเต็มหน้า โดนฉีดน่ะไม่เท่าไรแต่สีที่โดนนี่สิ ดันเป็นสีฟ้า เอาซะหน้านี่มืด ดำเมี่ยมเลย ถ่ายรูปแถบไม่ขึ้นจนตอนหลังต้องไปเอาสีสว่าง ๆ มาโปะหน้า

หลังจากวกกลับมาไปหาผงสีจัดสีชมพู แดง เหลืองมาแล้วก็พร้อมลุยเดินผ่านใครก็ Happy Holi ปะหน้า ป้ายกันไป ผงสีไม่เท่าไรก็เล่นกันสนุก ๆ สบาย ๆ ที่น่ากลัวที่สุดคือพวกสีสเปรย์นี่แหละนอกจากอันตรายแล้วยังล้างออกยากอีกตะหาก แถมที่น่ากลัวในระหว่างทางเดินอีกอย่างคือ บอมบ์จากชั้นบนระหว่างทางของบ้านต่าง ๆ แถบนั้น เดิน ๆ อยู่มระวังนี่โดนน้ำผสมสีสาดลงมาเต้มตัวได้เลยจ้า พื้นก็ลื่นจะรีบเดินมากก็ไม่ได้ วัดดวง ใช้สกิลเอาตัวรอดเอา
หลังจากสนุกสนานรายทางแล้วก็มาถึงหน้าวัด ก่อนจะเข้าต้องทำการถอดรองเท้าก่อนซึ่งน่าหวาดเสียวว่าจะหายมาก ๆ
บรรยากาศตอนเดินเข้าซอยไปในวัด

มีขายดอกไม้บูชาด้วย แต่เหมือนจะขายไม่ค่ยออกแฮะ

วัดยังไม่เปิดเลยแอบมาเดินเลียบแม่น้ำคงคา

ดูมีหมอกตัดกับแสงแรง ๆ แต่อากาศเย็น ๆ ก็ดูผ่อนคลายดี

บรรยากาศตึกรอบ ๆ นั้น

แฮร่! หน้าดำไปแล้วจ้า TmT

มีคนโดนจัดหนักตั้งแต่เริ่มงาน

Mr.Blue & Mr.Red

รูปปั้นขององค์เทพสักองค์

เห็นเค้าบูชาแต่หาได้รู้ไม่ว่าคืออะไร

ซุ้มประตูสวยดี เหลืองอร่ามเชียว

เดินมาเจอกลุ่มหนึ่งกำลังร้องรำทำเพลงเลย ส่วนกองขี้เถ้ามุมขวาคือกองขี้วัวจ้า เห็นมีคนหยิบมาพรมตัวด้วย

นี่ก็อีกแก๊ง ก็จะเละ ๆ หน่อย

หาอาวุธ!!!

คนเริ่มเยอะ ๆ

ยังไม่ทันเข้าวัดเลย เละไปละ (เทียบกับพี่แขกข้างหลัง 555+)

หลังจากเข้าไปก็จะเจอฝูงชนมากมาย เต้น ๆ ร้อง ๆ ภาษาบ้านเค้าไป เราก็เนียน ๆ ตามไป ถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอบ้าง แต่สงสัยเพราะเป็นชาวต่างชาติ แถมโดนจัดหนักมากกว่าคนท้องถิ่นเลยเละตุ้มเป๊ะ เละขนาดที่ว่าคนท้องถิ่นเดินมาถ่ายรูปเป็นระยะ ๆ พวกตากล้องสื่อเองก็มาขอถ่ายด้วย lol ก็สนุกสนาน สาดสีมันส์ ๆ ในวัดไปเรื่อย ๆ จนหนำใจ 
แก๊งอินเดีย

พี่ข้างหลัง พี่หลุดมาได้ไง ไม่โดนอยู่คนเดียว!

ฟุ้งเว่อ ๆ

หน้ายังคงดำ T^T

พวกผงสีพอใส่ Contrast แล้วสดดีมาก

คนเยอะมว๊ากกกกกก

สาวเอเชียก็มานะฮะ

โป๊ะหน้าตัวเองจนเหลืองอ๋อยแทน 555

นั่งนี้ไม่ใช่ไรนะ เหนื่อย แก่แล้ว lol

เสื้อท่าทางจะสวยได้ทีละ :D

บรรยากาศเสียงเพลง ครื้นเครงมาก ๆ

ปาผงสี ฟู่ว ๆ เป็นระยะ

เจอชาวยุโรปก็ขอถ่ายภาพซักแชะ

So Colorful

So Contrast

เอิ่ม สภาพรองเท้า เละพะยะค่ะ

ประมาณเที่ยง ๆ ก็ออกจากวัดฝ่าสมรภูมิดิบเถื่อนมาขึ้นรถกลับที่พัก ซึ่งฝั่งตรงข้ามจะมีร้านอาหารแต่เค้าบอกว่ามีแต่พวกแป้งโรตีทอดกับแกงมังสวิรัติ ก็โอเคจัดไป แป้งโรตีทอดอร่อยมาก ๆ ขอเพิ่มแล้วเพิ่มอีก น้ำที่มีให้กินก็หลากหลายดีราคาถูก หลังจากนั่งพักผ่อนหย่อนใจแล้วก็ออกจากร้านแวะซื้อไอติมกิน แล้วก็เข้าไปรอที่ Lobby จนกระทั่งประมาณบ่าย 2 ถึงสามารถเข้าไปพักได้ 
Choley Bhature( มันคือ โชเล บัตตูเร เพิ่งมารู้ตอนหลัง)

เห็นเค้ากินก็ลอง อารมณ์แบบธัญพืชใส่กับโยเกิร์ตเปรี้ยว ๆ

มะนาวโซดา อร่อยดี

น้ำมะพร้าวก็จะจืด ๆ หน่อย

ดับร้อนด้วยไอศครีมรถเข็น

ลุงพยายามหยิบพรีเซนต์เต็มที่

มะม่วงน่าลองแปลกดี หวาน ๆ หน่อย

บรรยากาศวิวชั้นบน ระหว่างรอจัดห้อง
สวรรค์ อาบน้ำเสร็จแล้วขอนอนยาว ๆ เลยละกัน

อาบน้ำล้างตัว ล้างแล้วล้างอีก ล้างอยู่นานมากจนพอสะอาด ก็นอนหลับพักผ่อน ตื่นกันอีกทีก็ ทุ่ม ลงไปกินข้าวที่ร้านอาหารของโรงแรมที่วุ่นวายมาก เป็นระบบซื้อแล้วเอาบิลใบเสร็จไปยื่นแล้วจะให้เครื่องเรียกมา เหมือนจะดูดีซึ่งชุดแรก เป็นชุดลองเชิงดูรสชาติ โชคดีที่คนยังไม่เยอะเลยได้เร็ว แต่ชุดที่ ที่ไปสั่งคนมาเยอะรอนานไม่พอ มีผู้จัดการที่มาแทรกแซงลูกน้องที่ทำ  ๆ กันอยู่ พาปวน บิลหายบ้าง ไรบ้าง มั่วไปหมด จนได้อาหารไม่ครบ

อาหารที่กินเนื่องจากมากัน 4 คน แถมที่เมืองนี้ก็เป็นมังสวิรัติล้วน ก็ต้องพยายามสั่งแบบที่กินกันได้ก็มีสั่งทั้งหมด 3 แบบใหญ่ ๆ คือ
1. Chinese Noodle - 130 รูปี จัดเป็นไม่ต้องคิดมาก เมนูเส้น ๆ ผัด ๆ น่าจะรอดหน่า
   แต่ปรากว่าพอกินไปหลัง ๆ ข้างล่าง โ-ค-ต-ร เค็ม!!! คือเหมือนเค้าผัดรวม ๆ แล้วมาตักแบ่ง ซอสที่โกย ๆ มาก็เลยเข้มมาก แต่ก้พอประทังได้
2. Choley Bhature (โชเล บัตตูเร) - 120 รูปี ถ้าแปลตรงตัวก็คือ แกงถั่ว กับแป้งบัตตูเร มีลักษณะเป็นแป้งทอดพอง ๆ กินคู่กับแกงถั่ว ตัวนี้แป้งอร่อยมาก ๆ คือกินแกงถั่วตอนร้อน ๆ นี่เจ๋งเลย แต่พอผ่านไปสักพักถ้าไม่รีบกินตัวแป้งจากกรอบ นุ่ม อร่อย จะค่อย ๆ เหนียวขึ้นเรื่อย ๆ และไม่น่ากินในที่สุด
3. Masala Dosa 105 รูปี หน้าต่างดูผ่าน ๆ เหมือนเครป แต่ข้างในจะเป็นแกง Masala มันฝรั่งและเครื่องเทศ กินตอนร้อน ๆ ก็อร่อยดี กินคู่กับน้ำจิ้ม แซมบา (แกงสีแดง) และ ซัดนี่ (แกงสีขาว) ซึ่งจากสไตล์พี่ไทยพบว่าการเอา Dosa ไปจุ่มกับแกงของเมนูที่ 2 นั้นให้รสชาติที่น่าพึงพอใจเป็นที่สุด

หลังจากนั้นแอบลองของหน่อยเลยไปสั่งน้ำที่ชื่อว่า Slush ที่แปลว่าโคลน ในราคา 33 รูปี รูปที่เห็นก่อนสั่งอารมณ์เหมือนน้ำส้มเกล็ดน้ำแข็งบ้านเราดูว่าจะเป็นไง ผลคือไปยืนรออยู่กับเมนูชุดที่ 2 กับพี่โคตรนาน แถมของที่ได้สุดท้ายก็คือน้ำส้มเกล็ดน้ำแข็งรสชาติกาก ๆ
หลังจากนั้นพอกินเสร็จพยายามจะออกมาดูว่ามีอะไรให้เดินเล่นได้บ้างไหม ซึ่งพบว่ามีอาหารข้างทางแบบ Local ที่น่าลิ้มลองมากกว่าอีก T___T ราคาก็ถูกกว่ากันครึ่ง ๆ (ถึงแม้ที่กินไปก็ยังรู้สึกว่าถูกก็ตาม) แต่เพราะอิ่มแล้วจะลองก็ไม่ไหว แถมดู ๆ ไปก็พบว่าจุดที่เราอยู่นี่แหละเจริญสุดแล้ว นอกนั้นเงียบเชียบ เลยตัดสินใจหาอะไรเบา ๆ หรือ ของหวานกินดีกว่า
มีแวะซื้อขนมเลย์รส Magic Masala รสชาติก็โอเคกินได้ไม่หวือหวาอะไร กับซื้อน้ำผลไม้มาซึ่งรู้สึกว่าที่นี่ถ้าเป็นน้ำผลไม้รสชาติจะออกหวานไปหน่อย สุดท้ายไปป๊ะกับร้านขายของที่ผสมผสานระหว่างไอศตรีมกับโยเกิร์ตก็เลยลองแวะดูมี 2 รสชาติ หอมนมใช้ได้ ไม่หวานจนเกินไป เห็นมีบางคนสั่งเป็นอารมณ์โฟลท คือ ใส่น้ำ (ที่คาดว่าจะเป็น Larsi) แล้วค่อยโปะไอศครีมไป ถ้าไม่ติดเรื่องความสะอาดในบางที่และไม่เรื่องมากกับอาหาร อินเดียก็เป็นเมืองที่ของถูกและอยู่ง่ายเหมือนกันนะ กินอิ่มแล้วก็ตัดสินใจกลับเข้าที่พักเตรียมเดินทางต่อไปยังทัชมาฮาลในวันพรุ่งนี้

มาดู ๆ ว่าเค้าสั่งกันยังไง อะไรน่ากินบ้าง

มีข้าวด้วย แต่่ข้าวเมืองอื่นหรอ....

ดูหน้าตาแล้วถ่ายรูปไว้แล้วมาสั่งที่เคาท์เตอร์

Masala Dosa แป้งอร่อยหอมมาก

บะหมี่จีน อารมณ์บะหมี่ผัดตอนกินเจแต่ข้างล่างโคตรเค็ม

Choley Bhature

ข้างในโปร่ง ๆ กินตอนร้อน ๆ เท่านั้น

ซัดนีซอสสีขาวกินกับ Masala Dosa แน่นอนว่ามีกะทิ

แซมบาซอสสีขาวกินกับ Masala Dosa เครื่องเทศจะหอม ๆ หน่อย

เนื้อด้านในของ Masala Dosa มีมันด้วย

Slush ที่รสชาติแบบส้มเกล็ดน้ำแข็งหน้าโรงเรียน 10 บาท

เลย์รส Masala หอมเครื่องเทศดี แต่ไม่เข้มเท่าไร กินเพลิน ๆ

ร้านไอศครีมขาวคู่กับ Larsi

ไอศครีมหอมนมและชาดี ชอบมาก

ร้านข้าว Local
เห็นตัก Masala ร้อน ๆ แล้วรู้สึกเสียดายอ่ะ TT


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น