วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Holi Festival - India Trip 2018 (Part II) Fin

Taj Mahal - The Ivory-White Brick Mausoleum

วันที่ 3 ชมพระราชวังทัชมาฮาล อนุสรณ์แห่งความรักกับชายโฉด 4 หน่อ (03 Mar’18)

เริ่มต้นวันที่ 3 Check-Out ออกจากโรงแรมจากนั้นก็เรียกบริการรถ 3 ล้อ ราคา 150 รูปี ไปที่สถานีรถไฟ เดอะ แก๊งครั้งนี้มาแบบราชาซื้อตั๋วแบบ First Class ไว้เรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งที่น่าห่วงคือจะหาชานชาลากับจุดที่ขึ้นถูกไหม เพราะว่ารถไฟตรงเวลามากกก (ขัดกับสภาพสถานีโดยสิ้นเชิง) จากที่กังวลก็เลยออกก่อนเวลาจนเห็นใบปิดประกาศชื่ออยู่โอเคโล่งใจ ป้ายไฟก็มีประกาศตำแหน่งก็เดินหาตามที่ระบุ หลังจากปักหลักเรียบร้อยแล้วก็เดินร่อนหาของ Local กิน ซึ่งมี 2 อย่างที่สนใจ คือ
1. Larsi หรือ โยเกิร์ตของอินเดีย เนื่องจากเห็นแว๊บ ๆ ตอนเดินหาชานชาลาขึ้นรถ ก็โอเคตามไปซื้อราคา 50 รูปี ปรากฎว่าตอนต้นหลังจากจ่ายเงินไป คนขายทำเนียนไม่ทอนเว่ยเฮ้ย! ก็เลยยืนมองสักพักไม่มามองเลยต้องทักแล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษไปว่า Give you 100 Rupee!!! พร้อมจ้องเขม็ง จนคนขายคืนมาให้ จบ ๆ กันไป ที่นี่ Larsi สีเหลืองนวล เปรี้ยวอ่อน ๆ แบบโยเกิร์ตแต่ไม่เท่านมเปรี้ยว นุ่ม กลมกล่อมดี
2. Chai หรือก็คือชานมต้มกับเครื่องเทศนั้นเอง ตามสถานีรถไฟจะได้ยินคนตะโกนว่า ชัย ชัย ชัยเป็นระยะ ๆ พร้อมกับหิ้วถังสแตนเลสที่บรรจุ Chai ไว้ ราคาแสนถูกเพียง 10 รูปี รสชาติแบบชานมร้อน ๆ มีกลิ่นเครื่องเทศชัด ๆ ที่รู้สึกได้คือ ขิง หอม อร่อยดี ไม่หวานเกินไป
 
สามล้อ 150 รูปี

เดินหาชานชาลา คนเยอะแต่เช้า

มีป้ายบอกหมายเลขอยู่ หาไม่ยาก

มีรายชื่อแปะบอร์ดเช่นเคย

เดินทอดน่องหาชานชาลา

Larsi 50 รูปี (ที่เกือบโดนโกงเป็น 100 รูปี)

ได้ยิน ชัย ชัย มาแต่ไกล รีบกวักเรียกเลย จัดมาแก้วเฮีย!

10 รูปีเท่านั้นจ้า ร้อน ๆ หอม ๆ

ขึ้นรถไฟมานั่งกินอาหารเช้าเป็นไข่เจียวถั่วลันเตาได้แป๊บเดียว ซักชั่วโมงนึงก็มาถึงสถานี Agra ที่นี่ดูเป็นสถานีใหญ่ นักท่องเที่ยวพลุกพล่านดี จากที่หาข้อมูลมาที่นี่จะมี Locker รับฝากกระเป๋าอยู่ เนื่องจากอยู่แค่วันเดียวแล้วจะกลับไปสนามบินเลย เลยหาที่ฝาก คิวพอสมควรไม่ได้เยอะมาก แต่รอนานสุด ๆ เพราะคนฝากพิรี้พิไร แต่เฮี๊ยบมาก คือใครจะแทรก ใครจะเร่งแทบจะโดนแกโบ้หัวแบะ ต้องพยายามกัน ๆ ไม่ให้คนเนียน ๆ แทรกระหว่างแถว พอถึงคิวก็พบว่าเฮ้ย ของพวกยูน่ะกระเป๋าใหญ่ต้องใช้ช่องใหญ่ แล้วก็ต้องไปหาซื้อกุญแจมาล็อคกระเป่าเอง หากุญแจปิดตู้เอง.......เอ้อ แม้แต่กระเป๋าที่เป็นแบ็คแพ็คแบบซิปรูดก็ต้องติดพอเป็นพิธี -*- ว่าแล้วก็เดินออกมาข้างนอก ร้านขายอยู่ข้างหน้าพร้อม กุญแจกระเป๋าตัวละ 20 รูปี กุญแจใหญ่ล็อคตู้ 50 รูปี ตัวเล็กสามารถไขด้วยกันได้หมด มีเพื่อ?!? 
หัวขบวนสวยดีแฮะ


สภาพด้านในแบบเดียวกับเมื่อวานเลย

Set อาหารเช้า

ออมเล็ตจืด ๆ ชืด ๆ T__T

หลังลงมา หาที่ฝากกระเป๋าไม่เจอก็พึ่ง Tourist Centre ซะ ตามสเต็ป

คนไม่เยอะมากแต่รอโคตรนานนนนนนน

อัตราค่าใช้จ่ายในการฝากกระเป๋า (ไม่รวมค่ากุญแจ)

Size กิ๊กก๊อก 20 รูปี

ไขกับแม่กุญแจตัวอื่นได้หมด มีเพื่อ ?!?

ลุงแกดูช้า ๆ แต่โคตรเฮี๊ยบ ใครอย่าได้แหยมไปเร่งแกเลยนะ มีขึ้น ๆ

เสร็จเรียบร้อยตัวเบาก็เดินทางไปทัชมาฮาลต่อโดยการจ้างรถแท็กซี่ของทางการ ไม่ต้องกลัวโดนโก่งเพราะออกใบเสร็จอะไรให้พร้อมจ่ายตั้งแต่ต้นทาง (น่าจะพัฒนาขึ้นมากันการโกง) ระยะทางไม่กี่สิบนาทีก็ถึง รถพามาส่งตรงประตูตะวันตกจากนั้นก็เดินเข้าไปในเขตพระราชวังเรื่อย ๆ สักประมาณ 5 นาทีก่อนจะถึงบริเวณทางเข้าตัวพระราชวัง เนื่องจากเดอะ แก๊งซื้อ E-Ticket ล่วงหน้า และเนื่องจากไทยอยู่ในกลุ่ม BIMSTEC ด้วยทำให้ราคาค่าตั๋วเหลืออยู่แค่ 530 รูปี ประกอบกับเป็นชาวต่างชาติด้วยก็เลยได้ทางลัดผ่านสบายบรื๋อ
TAXI Union ปลอดภัย ไร้การโกง

อัตราค่าโดยสารชัดเจน

เฮ้ย หรูกว่าที่คิด นั่งสบายมาก

เอิ่มมมมม คนเป็นล้านเลย
ช่องทางอภิสิทธิ์ชนยิ่งนัก ถ้าเป็นวัดพระแก้ว ชาวต่างชาตินี่จะกลายเป็นแบบแถว Local บ้านเค้าแทน

ไม่เป็นไร มี E-ticket + ชาวต่างชาติ ผ่านฉลุย

ทุกอย่างเหมือนจะชิลแล้วจนกระทั่งพี่คนนึงถูกกักตัวไว้ตอนตรวจของ O__O?!? ทุกคนก็งงว่าทำไมถึงถูกกักตัว สรุปเป็นเพราะขาตั้งของ Go Pro สาเหตุที่ห้ามเพราะว่ามันสามารถตั้งได้และอาจทำความเสียหายให้กับพื้นวังได้ (ตอนแรกพี่กะทำเนียนบอกว่าเอาไว้ถืออย่างเดียว ปรากฏพี่ตำรวจแกใช้เป็น เปิดให้ดุว่านี่แหละที่ไม่โอเคเพราะมันตั้งได้) สุดท้ายเลยต้องไปหาที่ฝากซึ่งคนล้านแปดพันเก้า ระหว่างทำใจรอพี่เค้าอยู่ก็พบว่าไม่นานเท่าที่คิดก็กลับมาเพราะพี่แกเล่นเอาไปซุกไว้ข้างทางระหว่างเข้ามาที่วังแถว ๆ ที่ไม่มีคน (ช่างใจกล้า --*)
บรรยากาศหลังผ่านประตู และ รอคุณพี่ไปหาที่ฝาก(ซ่อน)ขาตั้ง

ทางเข้าไปอีกชั้น

โอ่ อ่า อลังการอยู่

Selfie กันหน่อย

พอเข้ามาด้านในแล้วก็เดินถ่ายรูปในส่วนต่าง ๆ ถ่ายวิวยอดฮิต ท่ายอดฮิตไปเรื่อย จนอิ่มหนำสำราญก็เดินเข้าไปในวัง โดยแก๊งที่เป็น
E-ticket ต่างชาติแบบ BIMSTEC เหมือนว่าจะได้สิทธิ์อะไรสักอย่างทำให้สามารถไปหยิบที่คลุมเท้าสีฟ้าไม่เหมือนสีขาวเหมือนคน Local ได้เลยแถมได้ทางขึ้นที่ลัดกว่าด้วย พอเข้าไปในตัววังแล้วก็เดินชมรอบ ๆ เก็บภาพต่าง ๆ ให้หนำใจเช่นเคยก่อนจะเข้าไปด้านในซึ่งจุดนี้จะถูกห้ามถ่ายรูปเห็นบอกว่าถ้าเอาไฟฉายส่องจะเห็นเพชรสะท้อนแสงกลับมา
ส่วนตัวไปดูแล้วก็ยิ่งใหญ่ดีสมแล้วที่เค้าว่าประดับด้วยหินอ่อนสีขาวนวลบริสุทธิ์ ศิลาแลง ประดับลวดลายเครื่องเพชร พลอย หิน โมราและเครื่องประดับจากมิตรประเทศแต่ก็เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา บ่งบอกได้ว่าเริ่มจะหมดยุคของ 7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคใหม่เข้าไปทุกทีแล้ว แถมเบื้องหลังความรักนี้ก็มาจากการขูดรีดภาษีประชาชนไปอย่างมากอีกด้วย
คนเยอะ ถ่ายตัด ๆ ได้ดีสุดประมาณนี้เอง

Selfie Again

Jump Action

ของเราเป็น High Value Ticket ไปทางซ้ายโลด
ยื่นตั๋วให้ลุงดู

Get Shoes Clover 1 Pair สีฟ้าคือพวก High Value
ชอบดีไซน์ดูคลาสสิคดี

ตัววังด้านข้าง

ด้านหลังเป็นแม่น้ำ

สภาพของจริง คนตรึมฮะ

ทรุดโทรมลงไปมาก

วิวอีกฝั่งหลังจากออกมา

หลังจากเชยชมครบหมดทั่ววังแล้วก็เดินกลับมาทางเก่าแวะซื้อน้ำ ซื้อขนม ตัวนี้จำไม่ได้เรียกว่าอะไร แต่เป็นแป้งพายกับมันกินร้อน ๆ ก็อร่อยดี พอเดินไปถึงประตูปรากฏว่าปิดไปแล้วเลยต้องเดินย้อนแล้วไปออกตรงประตูทางใต้ที่เป็นประตูใหญ่แทนแต่เพราะใกล้เลยเรียกจักรยานไฟฟ้าให้ไปส่งประมาณ 20 รูปี แล้วค่อยโบกแท็กซี่กลับสถานีรถไฟต่อราคา 200 รูปี
 
แป้งคล้าย ๆ พัฟ ดูน่าลองดี

ข้างในเป็นพวกมัจิ้มกับซอสก็กินเพลิน ๆ แก้หิวได้ดี

น้ำมะม่วง ติดทางหวานหน่อย

หลังจากเดินอ้อมโลกก็มาออกทาง South Gate โบก TAXI กลับเท่านั้น ร้อน!!!

ระหว่างรอรถไฟก็แวะหาไรกินที่สถานี ด้วยความอยากเนื้อและมี KFC ที่สถานี ดังนั้นไม่เหลือจัดไปเต็มที่ ซึ่งระหว่างนั่งกินก็พบว่าส่วนใหญ่ที่มานั่งกินมีแต่ชาวต่าชาติทั้งนั้น (แต่ไม่แปลกใจเท่าไรเพราะที่นี่กินมังกันทั้งนั้น) ไก่จะสไตล์แห้ง ๆ หน่อยคนละแบบกับ CP บ้านเรา หมดอาหารจานหลักก็ไปขอลองเคืร่องดื่ม Local ต่อ มาคราวนี้จัด Chaas หรือ Butter Milk ราคา 20 รูปี ตัวนี้ไม่อร่อยเท่าพวก Larsi แต่ก็กินได้ หอม ๆ มัน ๆ ดี แต่ก็ยังรุ้สึกไม่หนำใจเลยจัด Larsi ต่อราคา 40 รูปี แพงขึ้นมาหน่อยแต่หอม หวาน รสชาติดีกว่ากันเยอะ จากนั้นก็มูฟกันไปหาที่นั่งพักสาธารณะ นั่ง ๆ นอน ๆ อีกชั่วโมงกว่า ๆ จนใกล้เวลารถไฟมาก็ไปรอขึ้นเหมือนเดิม
 
เนื่องจากตั๋วรถไฟตู้นอนขากลับยังไม่ระบุที่นั่งก็เลยเอามาให้ตรวจดู

ก็จะลูกทุ่งหน่อย ๆ เขียนมาให้ เอ๊ะ มีคนหนึ่งหลุดไปอยู่อีกตู้นอนแฮะ

KFC KFC KFC ร่างกายต้องการเนื้อ!!!

ข้าวหมกไก่ป๊อบ

ไก่ทอดจ๋า ฉันรักนาย

เดินสรรหาน้ำแปลก ๆ กิน

Chaas - Butter Milk 20 รูปี มัน ๆ เค็ม ๆ เฉย ๆ

Larsi 40 รูปี นายคืออันดับหนึ่งในเครื่องดื่มประเภทเย็น


รถไฟครั้งนี้เป็นแบบตู้นอน ตอนแรกถูกจับแยก 3 กับ 1 คน เป็นห้อง 4 เตียง กับ 2 เตียง ตามลำดับ แต่ดูแล้วห้อง 2 เตียงไม่มีคนมาแน่ ก็เลยมูฟมานอนรวมกัน 4 คนเลย ระหว่างนั่งรถไฟก็มีของมาขายบ้าง ตอนแรกไม่ซื้อแต่สักพักเริ่มหิว รอไปเรื่อย ๆ ก็ไม่มีคนมา พอมาทีก็เลยจัดชุดใหญ่เลยทั้งเลย์ ถั่ว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีน้ำมาขาย สุดท้ายเลยจัดชัยแก้กระหาย แล้วก็ส่วนตัวลองซุปพริกไทเพิ่มด้วย รสชาติดีหอมพริกไท กินคู่กับปังกรอบ (ที่ดูแล้วทอดซ้ำไปหลายน้ำมัน) ก็ฟินแก้กระหายดี
 
ตู้คล้าย ๆ ของ Trans Siberia แฮะ

ห้องนอนแบบ 2 เตียง

ห้องนอนแบบ 4 เตียง สุดท้ายก็มูฟมารวมกันหมด เพราะไม่มีคน

กว่าจะมีคนมาขายของ จัดเลย์มาซะ จืดแต่ก็ดีกว่าไม่มีขนมให้กิน

ถั่ว ๆ เอาไว้กินตอนเล่นไพ่เพลิน ๆ

Chai นายคืออันดับ 1 ของเครื่องดื่มร้อน

ไม่มีน้ำเปล่าก็ต้องจัดซุป เฮ้ย รสชาติดีเหอะ ชอบเลย ขนมปังกรอบถ้าทำเป็นไม่เห็นเรื่องทอดซ้ำก็อร่อยนะ

หลังจากเดินทางมา 3 ชั่วโมงปลาย ๆ ก็มาถึงนิวเดลีตอนค่ำ ๆ จากสถานีพอออกมาก็จะเจอสถานีรถไฟใต้ดินอยู่ตรงข้ามเลย ซึ่งสามารถนั่งยาวไปลงที่สนามบินได้ โคตรสะดวก (ต่างจากประเทศแถวนี้ -3-)  ตั๋วเป็นแบบเหรียญชิปเหมือน MRT ราคา 60 รูปี ที่นั่งกว้างและสบายมาก ใช้เวลาประมาณ 30 - 40 นาทีก็มาถึงสนามบิน จากนั้นก็เข้า Loop เช็คอิน ผ่าน ตม แล้วก็ไปเอนจอยกับเลาจน์ของ Biz Class สำหรับที่สนามบินนี้เลาจน์ที่ใช้บริการได้คือ Green Lounge มีของมากมายหลายอย่าง ทั้งพวกตระกูล Masala แกงเขียวหวาน ซุป น้ำผลไม้ต่าง ๆ รวมถึงพวก Alcohol ทั้งหลาย เหล้า ไวน์ เบียร์ มีครบ เสียอย่างเดียวคือกินไม่ได้ คออ่อนเกิน TwT มีแอบหยิบเบียร์มาลองจิบ ๆ ดูแล้วก็ปล่อยยุงไข่ไป เพราะรสชาติไม่ชวนกินเลย 555+ นั่งพักผ่อน เล่นมือถือจนได้เวลาก็ไปหาซื้อของฝาก พวกชาต่าง ๆ ตอนแรกแอบอยากแวะ Star Bucks แต่คนเยอะเลยปล่อยผ่าน เสร็จแล้วก็มาพักผ่อนเอนจอยกับ Biz Class รับ Welcome Drink นั่งดูหนัง กินอาหารเพลิน ๆ จนผลอยหลับไปในที่สุด
มาถึง นิว เดลี อีกทีก็ฟ้ามืดแล้ว

เดินหา Air Port Link ดูตามป้ายไป

Metro อยู่ติดกับสถานีเลย ป้ายเด่นชัดมาก (แต่ถ่ายได้เบลอมาก lol)

เวลาให้บริการ 4:45 am - 11:40 pm

จุดซื้อตั๋ว 60 รูปีถึงสนามบิน

เป็นเหรียญชิปคล้าย ๆ MRT

ภายในกว้างนั่งสบายมาก

ครึ่งชม.กว่า ๆ ก็มาถึง

บรรยากาศสนามบิน ดูดีเลยนะ

ที่สิงสถิต Green Lounge

Food Bar ต่าง ๆ


หืมมม ถ้าเป็นคนกินแอลกอฮอล์นะ หวานเลย

จัดได้ดูน่ายั่วยวนมาก

ตัดมารวม ๆ ส่วนใหญ่เป็น Masala แบบต่าง ๆ มีแกงเขียวหวานด้วยนะ แต่ก็แค่ชื่อน่ะแหละ....

น้ำผลไม้ ของหวานครบครัน

Beer ที่หยิบมาชิมแค่แก้วละจิบ T__T รสชาติไม่โอเคเลย

Biz Class ครั้งที่ 3 (ครั้งที่ 2 แบบตั๋วยาว)

น้ำมะม่วง

นอนชิลกินไป ดูหนังไป

อาหารมาเสิร์ฟแล้ว

Fish Something รสชาติโอเคเลย

วันที่
4 ทิ้งท้ายกับ Biz Lounge ก่อนกลับสู่สภาพสามัญชน (04 Mar’18)
ตื่นมาอีกทีก็มาถึงสนามบิน KUL แล้ว หลังจากออกมารอ Transit ก็ไปลอง Lounge ของ Cathay ที่แอบติดไว้ตอนขามา ซึ่งต้องบอกว่าอาหารถูกปากกว่ามากมีทั้งอาหารสไตล์ฝรั่ง เอเชีย เค้ก และชาเขียว พักผ่อนประมาณชั่วโมงหนึ่งก็ Transit กลับ BKK นั่งชมวิวพักผ่อนกับที่นั่ง Biz Class สุดท้ายอีกประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า จนแตะถึงพื้นดินเมืองไทยโดยสวัสดิภาพกลายเป็นสามัญชนอีกครั้ง ก็จบไปแล้วอีกทริปหนึ่ง คราวหน้าไปไหนดีนะ โดยทางกฏหมายแล้ว เราเองก็ยังไม่ได้ถือว่าเหยีบประเทศมาเลเซียเลยด้วยหรือจะลองเที่ยวมาเลเซียดูบ้างดีนะ?
ถึงแล้วมาเลเซีย

Cathay Lounge ที่ติดไว้ตอนขามา

อาหารเอเชีย อิส เดอะ เบส

รสชาติถูกปากกว่า Satellite มาก

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ลอง!

โยเกิร์ตมะม่วง ลอง!

น้ำชาเขียว ลอง!

แดดเริ่มส่องรำไร เริ่มเช้าขึ้นเรื่อย ๆ

Biz Class ครั้งสุดท้ายของทริปนี้

ก็ยังคงขอ Pink Guava

Nasi Lemak Set ค่อยมากล้าลองตอนขากลับ

Teh Tarik นายคืออันดับ 1 ของเครื่องดื่มร้อนมาเลเซีย ณ ตอนนี้

Nice View (1)

Nice View (2)

The Great View of this Trip