วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เปรโต๊ะลอซู น้ำตกรูปหัวใจผู้แสนลึกลับ ตอนที่ 1

เกริ่นนำ
          Blog ครั้งนี้จะเป็นการกล่าวถึงมินิทริปสั้นๆเล็กๆ ที่ใช้แรงกายมากมายมหาศาล
แถมยังเป็นการแบกเป้
full-option ครั้งแรกของเจ้าของ Blog ด้วย
มาดูกันครับว่าจะลำบากยากเย็นขนาดไหนกว่าจะไปถึง เจ้าน้ำตกเปรโต๊ะลอซู หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ปิตุ๊โกร แล้วทำไมถึงได้บอกว่า 'ผู้แสนลึกลับ' ทั้งๆที่ก็เห็นมีคนไปกันเยอะ อยากรู้ต้องอ่านครับ ^^



Day 1-2 : จาก กรุงเทพฯ สู่ แม่สอด (15-16/07/2016)
          22.00 ของวันศุกร์ที่ 15/07/16 คณะเดินทางหรือ เดอะ แก๊ง ได้ออกเดินทางจากขนส่งหมอชิตด้วยรถ บขส. กรุงเทพฯแม่สอด โดยครั้งนี้มีเพื่อนร่วมชะตากรรมด้วยอีก 2 คน จากจำนวน 3 คน จะเช่ารถตู้ก็ไม่คุ้ม จะบินไปค่าตั๋วนกแอร์ก็ประมาณ 1,500 บาท
ไม่ต้องคิดมาก สายประหยัดคุ้มค่า บขส.จัดไป!!! ค่ารถขาไปอยู่ที่คนละ 290 บาท จุดมุ่งหมายที่เราจะไป คือ ขนส่งแม่สอด เพื่อเตรียมต่อสองแถวไปยังสามแยกแม่กลองและต่อสองแถวเข้าไปยังหมู่บ้านกะเหรี่ยง กุยเลอตอ เพื่อเดินทางเข้าไปยังน้ำตก
ตั๋วขาไป กรุงเทพฯ - แม่สอด
          ตอนแรกคาดว่าจะถึงประมาณช่วงเช้ามืดและกะว่าจะค่อยๆต่อรถไปถึงทางขึ้นน้ำตกและนอนที่จุดกางเต็นท์แรก แล้วอีกวันค่อยไปกางเต็นท์จุดที่สองที่ใกล้น้ำตกกว่า แต่......กลับไม่เป็นดังคาด ตื่นมาอีกทีแม่เจ้า 6-7 โมงยังไม่ถึงไหน กว่าจะเข้าไปถึงแม่สอดก็ปาไป 10 โมง พอดิบพอดี สาเหตุเนื่องมาจากช่วงวันหยุดยาวอาสาฬหบูชา-เข้าพรรษา (แถมยังมารถติดหนักมากแถวสิงห์บุรี เนื่องจากทำทางใหม่ เบิ้ลหนักเข้าไปอีก มารู้ตอนหลังจากเพื่อนเพราะหลับตลอดทาง lol)

10 โมง ถึงขนส่งแม่สอด
ที่นั่งชั้นพิเศษ
          ยังไม่ทันคิดอะไรให้มากความหลังจากลงจากรถ สองแถวก็มาถามไปไหน 
บอกสามแยกแม่คลอง โอเคจบหัวละ 130 บาท ใช้ชีวิตบนรถกันต่อไป
คนที่ขึ้นส่วนใหญ่ก็เป็นคนพื้นที่ มีทั้งคนไทย ชาวกะเหรี่ยง และมุสลิมประปราย 
นั่งไปสักพักคนเริ่มเยอะ
 ก็เลยหาเรื่องปีนขึ้นไปนั่งชั้นพิเศษ (หลังคาน่ะแหละ)
ตากลมสบายๆแทน เนื่องจากแดดไม่แรงและจะได้ไม่เมารถ 
นั่งไปเรื่อยๆเจอจุด Check point บ้าง, จุดพักรถให้ซื้อของกินบ้าง, จุดพักเข้าห้องน้ำบ้าง 
โดยจะมีจุดใหญ่อยู่จดหนึ่งที่พักนานหน่อยเข้าห้องน้ำ ซื้อของกินได้ตามสะดวก

จุด Check Point
จุดพักรถจุดใหญ่ก่อนยิงยาว
          ในที่สุดก็ฝ่าโค้งนรก พิชิต 1,219 โค้งมาถึงประตูสู่อุ้มผาง สามแยกแม่กลอง 
แต่กว่าจะมาถึงก็ปาเข้าไป
 บ่าย 3 กว่าๆแล้ว TwT
สามแยกแม่กลอง-ทางเข้าไปกุยเลอตอ
ศาลาพักรอรถแม่กลอง
1,219 โค้ง ถ้าไม่นั่งข้างบนถึงเมาแน่
น้องหมาประจำศาลา
          เดอะ แก๊ง ก็นั่งรอที่ศาลาประมาณ 30-40 นาที จนมีสองแถวมารับ 
เอ้า
 รออะไรคนเยอะขนาดนี้นั่งชั้นพิเศษรับลมกันต่อ นั่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งคนเหลือน้อยทุกที
เวลาล่วงเลยไปเกือบ 5 โมงกว่า เกือบ 6 โมง จนถึงปากทางเข้าน้ำตก (ที่ไม่มีป้ายอะไรบอกเลย)
ลุงคนขับเลยถามว่าจะไปต่อหรอ จะมืดแล้ว ทางไม่มีไกด์ แถมมีช้างบ้านของกะเหรี่ยงด้วย
จะไปจริงหรอ? พักที่บ้านลุงก่อนก็ได้นะ

พิจารณาดูแล้ว.....พวกผมต้องพึ่งลุงแล้วล่ะ 555
ก็เลยติดสอยห้อยตามไปจนสุดทาง
ระหว่างทางลุงชี้ทางเข้าจุดหนึ่งให้ดูเห็นเค้าว่าตอนนี้กำลังบุกเบิกทางใหม่
แต่ยังไม่
 official เดินง่ายกว่าเดิมอีกพวกไกด์ทัวร์กำลังทำทางกันอยู่ ไว้ต้องรอดู

เดินทางอีกประมาณครึ่งชม. และแล้วก็เดินทางมาถึงสุดสาย ณ ปลายทางคือ 
สุดเขตประเทศไทย หมู่บ้านเปิ่งเคลิ่ง
(แล้วมันคือที่ไหนล่ะ ไม่เคยได้ยิน รีวิวอื่นๆไม่มีพูดถึง 
 แหงล่ะ ก็ชาวบ้านเค้าไม่ได้มาเลทแบบพวกอ็งหนิ)
ไหนๆก็เข้าไปไม่ทันแล้ว
ก็มาขอพักโฮมสเตย์กับลุงจักหน่อยละกัน
บ้านหลังน้อยที่จะอาศัยคืนนี้
          หลังจากเก็บกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยก็แวะไปถ่ายรูปสุดเขตประเทศไทย 
(พี่ทหารบอกข้ามไปได้ไมต้องใช้พาสปอร์ต แต่ก็มืดละ จะข้ามไปทำไม ไม่เห็นอะไรอยู่ดี =w=)
เจอะเจอน้องหมาก็แวะเล่นซักหน่อย เออ เชื่องดี แวะร้านโชว์ห่วยซื้อของกินเล่นนิดหน่อยก่อนจะเดินไปเจอลุงที่ร้านข้าว

สุดเขตประเทศไทย ข้ามไปก็เมียนมาร์แล้ว
กม. 74+486 !!!
ท้องฟ้าสลัว ณ เปิ่งเคลิ่ง
          ปรากฏว่าไปถึงเห็นลุงนั่งอยู่ตรงรถไม่เข้าไปในร้าน
ลุงก็เล่าว่ามีกะเหรี่ยงเมาอยู่ เริ่มมีแนวโน้มจะอาละวาด
ลุงเลยบอกให้รอในรถ
 เปลี่ยนเป็นสั่งห่อไปกินที่บ้าน
ระหว่างรอตอนใกล้ๆเสร็จ เริ่มมีเสียง เพล้ง!!! และเริ่มมีการโวยวายหนักขึ้น
=___=" อืม...โอเค ดีแล้วครับที่ห่อกลับไปกินบ้าน

          หลังจากกลับมากินที่บ้านก็นั่งตั้งวงกะคุณลุง คุณป้า ช่วยคุยกันไป
ลุงก็เล่าว่าตัวบ้านที่ไปพักไม่ใช่บ้านของลุงเองแต่เป็นบ้านเช่าสำหรับคนขับรถสองแถว
ลักษณะเป็นบ้านไม้ยกสูงมีห้องนอน- ห้องน้ำให้ ไฟที่นี่จะเปิดเที่ยงคืน-เที่ยงวัน
เห็นเค้าว่าใช้จากพลังงานน้ำ แต่ก็เห็นมีแผง Solar Cell นะ หรืออาจจะบางส่วน

          ระหว่างนั่งกินก็พูดคุยกับลุงและป้ากันไป

ลุงแกมีชื่อว่า โกมล (แถวนั้นเรียกโกมลโกม่น)
ส่วนป้ามีชื่อว่า แตน
สรุปแล้วลุงแกเป็นคนใต้
 นครศรีธรรมราช

มาปลูกยางพารากับอินทผาลัมที่นี่ ส่วนขับรถเป็นอาชีพเสริม
แต่ดวงกุดหน่อย ตอนต้นยางพร้อมกรีดให้ยางราคาก็ตกดิ่งเหวซะแล้ว
(3,000 กว่าต้นเลยนะนั่น) แกบอกว่าราคาจะกลับมาอีกทีก็ 2570 นู่น
ส่วนอินทผาลัมแกเป็นรายใหญ่ในตาก (หรืออย่างน้อยก็อุ้มผาง) 
ซื้อกล้ามาปลูกต้นละ
 150 ปลูกขึ้นก็เก็บได้ทุกเดือน (รู้สึกจะ 4-5 ปี ถึงจะเริ่มเก็บได้)
ถ้าเกรดดีๆก็โลละ 600 เกรดรองห่วยๆก็โลละ 300
พูดคุยกินข้าวกระเพราหมูสับเสร็จก็ได้ลองชิมขนมเทียนแก้วฝีมือคุณป้าทำเอง
รสชาติใช้ได้เลยกินเพลินดี -w- กับทุเรียนพันธุ์ป่าคล้ายๆกระดุม 
ชาวบ้านเค้าเรียกกันว่าพันธุ์โบราณ 3 ลูก 100 เม็ดนี่อย่างใหญ่ 
ส่วนรสชาติพอให้หายอยากได้อยู่แต่ไม่เท่าหมอนทอง กินไป 2-3 พลู นี่เริ่มรู้สึกร้อนๆ 
(โอ๊ว ของเค้าแรงจริงๆ)
ลุงโกมลกำลังผ่าทุเรียนให้กิน
หน้าตาพันธุ์โบราณ
ขนมเทียนแก้วฝีมือป้าแตน
หลังจากกินเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันเข้านอน
(เริ่มเขียนเนื้อหาบล็อกก็ตอนนี้แหละ lol)
แพลนไว้ว่าจะตื่นตี 5 รถรอบแรกออก 6.30 ก็จะไปที่จุดแรก
แล้วกะลงของกางเต็นท์ เดินตัวเปล่าไปจุด 2 ยอดดอยมะม่วงสามหมื่น
แล้วค่อยลงมานอนฐานแรกแทน 
ก็จบวันที่ 2 ลงไป
เดี๋ยวเรามาดูกันต่อว่าจะเดินทางได้ตามแผนไม๊
บ้านไม้ ที่มีแค่มุ้งกับที่นอน
เตรียมพร้อมเก็บแรงไว้พรุ่งนี้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น