วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2565

เขาช้างเผือก ทริปเผือกร้อน เพราะเผือกจองได้ 😂

เกริ่นนำ:

จริง ๆ ปี 2021 ที่ผ่านมา ไม่คิดว่าจะได้เที่ยวไหนแล้วเนื่องด้วยความกรอบของร่างกาย ความอุดอู้ WFH แค่ได้ออกไป Hop ไปหาร้านอาหารดี ๆ ใหม่ ๆ ร้านกาแฟ ร้านชาดี ๆ ก็คิดว่าพอใจละ แต่ดวงคนมันจะได้เดินป่าละนะ แถมแต้มบุญคงมีเยอะเพราะไม่ได้ใช้เลยคงออกผลงวดนี้พอดี

ทริปที่ลุยเดินป่าล่าสุดเป็นการไปจอยกลุ่มเกาะชาวบ้านรวมตัวนั่งรถตู้ยิงยาวแล้วพักโฮมสเตย์ เมื่อตุลาคม 2020 ส่วนทริปนี้ก็เปลี่ยนบรรยากาศไปอีกเป็นการจอยรวมตัวกัน 4 ขับรถส่วนตัวไปจอดรถที่หมู่บ้านปิล๊อก ก่อนจ้างลูกหาบแล้วค่อยเดินตัวปลิวขึ้นเขา โดยสมาชิกครั้งนี้คนที่ 1 รู้จักกันไม่นาน กับอีก 2 คนที่ไปรู้จักกันหน้างาน 😆
อารมณ์แบบไงก็ได้ขอแค่ตี้ครบได้ไปเป็นพอแล้ว

การเตรียมตัว:

1) ดวง! แต้มบุญทุกอย่าง ใครจะสายมูก็สุดแล้วแต่ ส่วนเราคือสายลุ้นด้วยการพยายาม ทุกคนแบ่งกระหน่ำโทรจองกันไปเลย โดยติดตามการประกาศเปิดเขาช้างเผือกได้ที่ https://www.facebook.com/อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ-Thongphaphum-National-Park-660455174044774

โดยกฎ ณ ปัจจุบันจะให้จองล่วงหน้าได้ไม่เกิน 7 วัน เช่น แพลนจะขึ้น 30/12 ต้องโทรจองวันที่ 27/12
สามารถโทรจองได้ตั้งแต่
8:30 -16:30 . โดยจองได้ไม่เกินครั้งละ 6 คน ที่เบอร์ 034-510-070 หรือ 098-252-0359
2) ข้อมูลที่ต้องให้เมื่อโทรติด
2.1 วันที่จองขึ้นเขา
2.2. จำนวนคน
2.3 ชื่อ-นามสกุล เบอร์โทร และ เลขประจำตัวประชาชนของแต่ละคน
2.4 หลังจากที่จองเรียบร้อยแล้ว ให้ตัวแทนจัดส่งเอกสารหลักฐานสำเนาบัตรประชาชาของทุกคนให้ให้กับอุทยานภายใน 1 วัน ที่ Thongphaphumoffice@gmail.com

3) เตรียมหลักฐานยืนยันการได้รับวัคซีนแล้ว 2 เข็มขึ้นไป เพื่อแสดงให้เจ้าหน้าที่ดู
(เช่น
App หมอพร้อม หรือ จะพกใบรับรองการรับวัคซีนแล้วแต่สะดวก)

4) สำหรับ ณ ปัจจุบัน ในวันที่เข้าไปติดต่ออุทยานฯ ก่อนเข้าหมู่บ้านปิล๊อกเพื่อขึ้นเขา ต้องมีผลการตรวจ ATK หรือ RT-PCR ที่ออกโดยราชการไม่เกิน 2 วัน (เช่น จะขึ้น 30/12 ต้องมีผลตรวจลงวันที่ 28/12 หรือ 29/12) โดยเจ้าหน้าที่จะดูที่ผล Lab Result (ใบรับรองแพทย์ไม่ได้ใช่แต่ขอมาเก็บไว้ก็ได้ นี่ตอนยื่นไปเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ไม่มีใบรับรองแพทย์ แต่ผลการตรวจเป็นของสถาบันการแพทย์ที่แน่ชัดเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ดูอะไรต่อ)

สิ่งที่ต้องรู้:

  1. ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ตามประกาศของอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ หมายถึงที่ https://goo.gl/maps/cVkbHVgEEV8am5bR6  ให้ค้นหาว่า อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ” ถ้าเป็นที่ตั้งที่อยู่บนเส้น 4088 ก็คือถูกแล้ว 
    หากค้นหา “ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว…” จะไปแสดงผลในตัวเมืองแทนและขึ้นว่าปิดชั่วคราว
  2. ติดต่อเพื่อคัดกรองให้เอกสารและชำระค่าบริการต่าง ๆ ที่อุทยานในช่วงเวลา 6:00 – 8:00 ของวันที่ขึ้น และค่อยเดินทางไปหมู่บ้านปิล๊อก เพื่อติดต่อ (จ้างลูกหาบ) และติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขึ้นเขา
  3. ข้างบนมีแต่ส้วมหลุม (ซึ่งกลิ่นแรงมาก) และไม่มีห้องอาบน้ำ ดังนั้น
    3.1 พิจารณาของกินให้ดี ๆ เพื่อความสบายตา สบายใจ สบายจมูกของเราเอง
    (หากจำเป็นต้องเข้าก็สวมแมสก์แล้วก็ป้ายพวกยาหม่องไว้ พอช่วยได้)
  4. ทิชชู่เปียก” มันคือ Key Item ของทริปนี้เลย อเนกประสงค์สุด ๆ
  5. อันนี้แนะนำส่วนตัว ควรมีพวกสเปรย์ Deodorant ดับกลิ่นเสื้อผ้า จะช่วยได้เยอะเพราะเหงื่อเราจะออกเยอะมาก
  6. แดดร้อนมาก จะมีส่วนที่เป็นทางเดินโล่งแจ้ง ควรเตรียมตัวรับมือกับแดดให้ดี ๆ
    เช่น ปลอกแขน/เสื้อกันลมแขนยาวถ้ามีฮู้ดด้วยจะดีมาก หมวกก แว่นกันแดด กางเกงขายาว (อันนี้ส่วนตัวใส่ขาสั้นสบายกว่าแลกกับการคันขานิด ๆ) รองเท้าที่เกาะพื้นได้ดี เช่น พวก Vibram Grip เพราะจะมีจุดที่ชัน-ลาดอยู่บ้าง
  7. ไม้เท้าเดินป่า“ ถ้าแก่แล้ว ข้อเข่าไม่ดีเหมือนก่อน มันคืออีก Key Item ที่ช่วยรับแรงให้เรา
  8. เต็นท์ ถุงนอน แผ่นรองนอน และชีทปูนั่ง” เตรียมเองหมดนะ ที่อุทยานจะมีก็แค่พวกถุงมือ
  9. ถุงมือ” ต้องมี เพราะต้องใช้จับเชือกเพื่อปีนขึ้น-ลง บางจุดที่ชัน มีไว้กันถลำจะได้ไม่บาดมือ ที่อุทยานมีขายคู่ละ 10 บาท แต่ส่วนตัวเป็นพวกถ่ายรูปด้วยมือถือเลยใช้แบบถุงมือตัดนิ้วชี้ กลาง โป้ง เอามาหยิบถ่ายรูป
  10. น้ำ” ควรพกไปตอนปีนเขาอย่างน้อยคนละขวด ถ้าใครจ้างลูกหาบก็ดูกะปริมาณสำหรับประกอบอาหาร แต่ส่วนตัวเป็นคนกินน้ำน้อย ขวดเล็กยังไม่หมดเลย แต่หลายคนก็ 1 ขวดใหญ่กันนะ
  11. อาหารข้อนี้แล้วแต่สะดวก จะพกแต่ของแห้งก็ได้ หรือ จะเอาพวกมาม่าไปต้มก็ดี ถ้าจะสะดวกก็พกเตาแก๊สปิคนิคไป (เดือดร้อนจริง ๆ อยากเปลี่ยนไปไปขอพึงใบบุญพี่ลูกหาบได้นะ)

ค่าใช้จ่ายตลอดทริป: ขึ้นอยู่กับความพร้อมของอุปกรณ์ต่าง ๆ ดูรายละเอียดได้ที่ท้าย Blog แต่อยู่ราว ๆ ตั้งแต่ประมาณ 1,500 – 2,000 ไม่รวมค่าอาหารหลังลงจากเขาช้างเผือก ที่ขึ้นอยู่กับจริตการกิน


Day 1: จากกรุงเทพก็ลุยแหลกเตรียมปีนมันเล๊ย (30/12/2021)

เตรียมพร้อมเข้าป่ากางเต็นท์ในรอบเกิน 5 ปี

หลายคนอาจจะมีไปชิลนอนที่หมู่บ้านปิล๊อกบ้าง ไปเที่ยวตัวเมืองกาญจนบุรีแล้วพักซักคืนบ้าง แต่นี่ไม่ครับ เค้าให้รายงานตัวที่อุทยานแห่งชาติ ณ จุดศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 6:00 - 8:00 . ช๊ะ ก็ลุยเลยล้อหมุนเที่ยงคืนขับยิงยาว เหยียบเต็มมิดฝ่าโค้งขึ้นเขาไปที่อุทยาน ด้วยความตีนระดับเทพของเพื่อน ๆ (ทริปนี้เป็นปลิงไม่ได้แตะเลย รถเพื่อน และเออ เราไม่น่าจะขับได้ทันใจเค้านะ 😂) ก็คือลุยเปลี่ยนมือกัน 2 คนด้วย VIOS มีแวะปั๊ม ปตท.หินแหลม (ปั๊มสุดท้ายที่มีห้องน้ำและ 7-11) ก่อนจะมาถึงหน้าอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิราว ๆ ตี 5 กว่า ซึ่งประตูยังปิด ที่ป้อมก็ไม่มีคน ไฟก็ปิดอยู่เลยนอนหลับเอาแรงกันบนรถจนถึง 6 โมง เจ้าหน้าที่ก็มาบอกว่าให้ไปรอด้านในได้นะ (ซึ่งจริง ๆ เจ้าหน้าที่แกก็นอนอยู่ในป้อมนะ แต่นอนกับพื้น เรียกเค้าได้นะ)

6:00 กว่า ๆ เจ้าหน้าที่ก็เริ่มเรียกให้ไปรับบัตรคิวและกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์ม พร้อมเตรียมเอกสารรับรองผลตรวจ COVID-19 ให้เรียบร้อย 

ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ติดต่อรับคิวยื่นเอกสารได้ตั้งแต่ 6:00
ต่อคิวฟังดราม่า

เส้นทางที่เราจะลุยกันในทริปนี้

*พาร์ทบ่น*
ตอนขาไป มีดราม่าเหมือนแก๊งที่เป็นคิวลำดับ
1 มีผลตรวจจากสถานที่ที่ไม่ได้ไปจริง (เช่น ตัวอยู่กรุงเทพฯ แต่ให้คลินิกที่เชียงใหม่ออกผลให้ โดยอาจจะตรวจ ATK เองไลฟ์ให้แพทย์ดู) แถมเหมือนคลินิกที่อ้างก่อนหน้าก็ไม่ได้รับการรับรองให้ออกผลการตรวจ ATK ด้วยก็ถกเถียงกันอยู่นาน เจ้าหน้าที่บอกว่าเคยเจอที่ปลอมแปลงผลและไม่มีคลินิกที่อ้างอยู่จริงด้วย แต่ก็นั่นแหละ เสียเวลามาก คือเราเป็นคิวที่ 3 ที่ถ้าไม่ติดที่เถียงกัน ให้คิวที่ไม่มีประเด็นคัดกรองลงทะเบียนต่อก่อนคงไม่เสียเวลากว่าครึ่งชั่วโมง

หลังจากตรวจสอบเอกสารเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่จะให้ชำระค่าบริการและค่าเจ้าหน้าที่หัวละ 310 บาท และไปชำระค่าจอดรถ ค่ากางเต็นท์ ค่าเข้าอุทยานที่ป้อมหน้าปากทางเข้า (ค่าเข้าคนละ 40 บาท ค่ากางเต็นท์คนละ 30 บาท และ ค่าจอดรถเก๋ง 30 บาท) เรื่องค่าใช้จ่ายแล้วแต่จะบริการ จะเรียกเก็บกองกลางกันก่อน หรือ สะดวกจ่ายแล้วจดโน๊ตกันไว้ จากนั้นก็เตรียมเดินทางไปยังหมู่บ้านปิล๊อกต่อ

**นอกเรื่อง**

ที่นี่จะมีนกเงือกคู่หนึ่งอยู่ เป็นนกเงือกที่เคยมีคนเลี้ยงแล้วตอนหลังเอามาปล่อย มีความอันธพาลชอบจิกชาวบ้าน ชวนทะเลาะกับเจ้าหน้าที่ประจำ เพลินตาดี กับ มีเจ้าเหมียวสามสีอยู่หนึ่งนาง นางน้วยมากกกกกก ถ้านางยอมนอนนิ่ง ๆ จกพุงได้ด้วยล่ะ

นกเงือกร่ายรำและตีกับเค้าไปทั่ว

อ้วนจกพุงได้ด้วยนะ โคตรน่าน้วยยยยย

                ขับตามเส้นทางไปยังหมู่บ้านปิล๊อกใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง สิ่งที่ต้องทำคือหาที่จอดรถให้ได้ อาจจะแน่นแต่ลานบนเนินจะมีที่จอดเหลือแหละ หาช่องเอา หลังจากได้ที่จอดแล้วก็ได้เวลาจัดเตรียมของต่าง ๆ สำหรับชุดที่เอาไว้เปลี่ยนกลับหลังลงมาอาบน้ำก็ไม่ต้องแบกขึ้นไปให้เปลืองน้ำหนักนะ สำหรับของที่จะนำขึ้นไปแบ่งคร่าว ๆ ดังนี้

1) ของส่วนตัวที่หิ้วขึ้นเอง พวกน้ำ ของกิน อุปกรณ์กันแดด etc.

2) ของที่จ้างลูกหาบแบกขึ้น เช่น น้ำ เตาแก๊สปิกนิก หม้อสนาม เต็นท์ ถุงนอน แผ่นรองปู บลา ๆ
=> ข้อนี้ตอนแรกซื้อถุงแบบให้ใส่รวมแต่สุดท้ายลูกหาบจะแบ่งจัดสรรกันเองในทีมเค้านะ มีประโยชน์แค่ตอนหิ้วไปหาลูกหาบ 🤣

หลังจากจัดแจงของแล้วเรียบร้อยก็เดินลงมาหาลูกหาบที่อาคารศูนย์เตรียมพร้อมป้องกันภัยประจำหมู่บ้าน (ตรงนี้ไม่แน่ใจก็ถามทางเค้าได้) โดยค่าบริการจะอยู่ที่ 30 kg แรก เหมา 1,500 บาท ส่วนเกินคิดกิโลละ 50 บาท ทีมเราครั้งนี้หิ้วขึ้นไป 45 kg ก็ตกที่ 1,500 + (50x15) = 2,250 บาท

นัดแนะลูกหาบ จำเบอร์กับหน้าตาพี่ ๆ เค้าไว้ให้ดีรวมถึงการขอใช้ช่วยกางเต็นท์ (ของเราโชคดีที่ลูกหาบช่วยไปจองกางเต็นท์ในจุดที่มีพุ่มไม้ช่วยกันลม ตรงนี้อาจติดต่อ คุยดี ๆ อ่ะ เป๊บซี่น้ำแข็ง จะจ้างก็บอกได้ตั้งแต่ตรงนี้เลยนะ)

จ้างลูกหาบเสร็จแล้วก็ไปกินข้าวเช้ากัน เลือกร้านตามสะดวกเลย ส่วนใครอยากซื้อของกินไปกินระหว่างทางร้อน ๆ จำพวกข้าวเหนียวหมูปิ้งก็เลือกเอาตามอัธยาศัย (แต่ข้าวเหนียวคือควรแบ่งกันนะ ชุดหนึ่งคือให้เยอะมากกกกก คือเราไมได้สั่ง เพราะเตรียมขนมปังไว้แต่เห็นละจุกแทนเลย เยอะโฮกกกกกก)

ลานตากรถ อย่าลืมคลุมกันแดดนะ (เพราะนี้ลืมกัน TwT ร้อนสุกตอนกลับมา)
นัดแนะกับลูกหาบชำระเงิน (และจ้างซื้อน้ำอัดลมเพร้อมน้ำแข็งได้ด้วยนะ)

จากนั้นก็เดินไปที่จุดรวมพลเจ้าหน้าที่จะดูตรวจสอบยืนยันตัวตน ถ่ายรูปรวมและค่อยปล่อยให้เดินขึ้นเขา เริ่มเดินออกจากหมู่บ้านประมาณ 8:30 เดินซัก 20 นาทีก็จะถึงปากทางเข้าเส้นทางขึ้นเขา ก็จะรอเดินกันมาครบอีกรอบ ถ่ายรูปแล้วก็เริ่มปีนเขาเส้นทางจริง ๆ ตอนประมาณ 9 โมง

เดินมาท้ายหมู่บ้านตรวจเอกสารและถ่ายรูปหมู่ก่อนปล่อยขึ้น

**Tips ส่วนตัว**

ด้วยความที่ WFH มายาวตลอดปี แถมเป็นพวกไม่ออกกำลังกายใด ๆ เลย มีแค่คุมอาหาร ก็กลัวความไม่ฟิต ครั้งนี้เลยเตรียมการเรื่องการกระตุ้นประสาท เช้าก่อนขึ้นมีจัดกล้วยหอม 1 ลูก เปปทีน 1 ขวด และ M150 ครึ่งขวด ระหว่างทางน้ำที่ดื่มคือกาแฟร้อนที่ดริปไปเองตั้งแต่กรุงเทพฯ ใส่แก้วเซรามิก (แต่จริง ๆ แกควรเตรียมพวกเครื่องดื่มเย็น ๆ นะ 555+) เอาให้มั่นใจว่ามีแรงน่ะแหละ ก่อนค่อยไปพบความจริงว่า….เออ จองยากกว่าปีนจริง จะปีนชิลไปไหน กังวลเว่อเก้อเลย น้ำเล่าก็จัดไม่ถึงครึ่งขวดเล็ก (แต่ปกติเป็นคนกินน้ำน้อยอยู่ละ ตอนไป Petra เดินทั้งวัน 5 Trail ก็กินไม่หมดขวด) และที่สำคัญถ้ารู้ว่าเริ่มแก่แล้ว ไม้เท้าเดินป่าช่วยได้มาก ๆ นี่ก็เริ่มมาใช้ครั้งแรกประทับใจมากทุ่นแรงได้เยอะจริง ๆ 

แหล่งพลักงานของคนติดกาแฟในถ้วยเซรามิกของ Fellow
(ประเด็นคือไม่ได้ Drip แบบเย็นมา ลืม TwT)
 

                จากปากทางเดินไปช่วงแรกจะยังร่ม ๆ อยู่ในป่า เดินไปประมาณครึ่งชั่วโมงจะเจอจุดพักแรก ต้นส้านพักถ่ายรูปเล็กน้อย พอหายเหนื่อยก็เดินต่อจะเริ่มเป็นที่โล่งขึ้นเนินเขา หญ้าจะเริ่มสูงใครไม่มีแขนยาวหรือปลอกแขนน่าจะเริ่มโดนบาดกันจังหวะนี้แหละผ่านไปอีกซักครึ่งชั่วโมงจะเจอจุดพักถัดมา คะเนียงพ้นจากจุดนี้จะเริ่มปีนเขาทางจะเริ่มชันขึ้น ใครไม่ชินตรงนี้จะเริ่มกินแรงสุด ๆ ใช้เวลา 15-30 นาที แล้วแต่ความฟิต ก็จะมาถึงจุดพักและชมวิว หุบกะเหรี่ยง ที่จัดว่าเป็นจุดสวยจุดหนึ่งเลย เพราะจะเป็นผาที่มองย้อนกลับไปถึงเส้นทางที่เราเดินมา เห็นทิวเขา ฟ้าโปร่ง ถ่ายรูปสวย

เดินมาครึ่งโลเพื่อพบว่าเพิ่งถึงปากทางขึ้น lol
หน้ายังไม่ดำ ยังพร้อมลุย
Check Point แรก "ต้นสาน"

วิวสวยใช้ได้เลย
Check Point ที่ 2 "คะเนียง"
วิวอย่างงาม ฟ้าใสมาก
3rd Check point "หุบกะเหรี่ยง" วิวสวยมว๊ากกกก

อวดซักหน่อย ฟ้าสวยมาก ๆ จริง ๆ

                หลังพักถ่ายรูปแล้วเดินต่ออีกหน่อย 15-20 นาที (ป้ายจากหุบกะเหรี่ยงบอกว่า 410 เมตร) เวลาประมาณ 10:30 . จะถึงจุดพัก หุบชะนีจุดนี้เป็นจุดพักที่ร่มจุดหนึ่งก่อนที่จะลุยกลางแจ้ง หากรู้สึกขาดน้ำควรดื่มให้พอเอาให้แน่ใจค่อยลุยต่อ

4th Check point "หุบชะนี"

                เดินไปอีก 300-400 เมตร (10 กว่านาที) จะมาถึงจุดพักกลางแจ้ง เขาชะมดจะเป็นช่วงตีนเขาที่มองเห็นมุมกว้างถ่ายรูปได้สวยอีกจุด (แต่แดดจะเริ่มร้อนมาก ๆ) พักถ่ายรูปกันเรียบร้อยก็เดินกันต่อไปอีกไม่ถึง 10 นาที จะถึง ดงไผ่จุดนี้คือจุดพักที่ร่มที่สุดแล้ว หลังจากนี้จะเป็นที่โล่งแจ้ง เวลาช่วงนี้จะใกล้ ๆ 11 โมง แล้วแต่ว่าจะจัดสรรกับสภาพความฟิตกันยังไง ถ้าเหนื่อยก็พักยาว ๆ กินข้าว/เสบียง พร้อมค่อยลุย หรือ ถ้าไหวก็เดินลุยยาวไปต่อเลย อีกแค่ 2 สถานีก็ถึงลานกางเต็นท์แล้ว คนในทริปตกลงว่าจะลุยกันทีเดียวค่อยไปพักยาวที่เต็นท์เลย

มีทางเดินเลาะเขาบ้าง (แต่ส่วนตัวไม่มีความเสียวใด ๆ ทางเดินกว้างมาก)
พ้นโขดหินจะเจอ 5th Check Point "เขาชะมด"

เขาชะมด มีมุมโขดหินให้ถ่ายรูปเสยเห็นท้องฟ้าสวย ๆ ได้ หรือ ถ่ายย้อนมุมกว้างก็ได้วิว

ตัวอย่างวิวมุมเสย ฟ้าอย่างงาม
6th Check Point "ดงไผ่"
ถ้าหิวจะกินจุดนี้ร่มที่สุดแล้วก่อนข้ามเขายาว ๆ แถมโล่งแจ้งไม่มีร่มด้วย

                จากดงไผ่ เดินต่อไปอีก 10 กว่านาทีจะถึงจุดพัก เขาช้างน้อยส่วนเราช้างใหญ่//ผิด เป็นจุดพักก่อนไต่สันเขา (ซึ่งระยะทางไกลถึง 700 กว่าเมตร กว่าจะถึงสถานีถัดไป) เป็นอีกจุดที่หันหลังกลับไปถ่ายวิว โคตรสวยเลย จากจุดนี้เดินไปอีก 15-20 นาทีจะถึงลานจอดเฮลิคอปเตอร์ (ถ้าไม่หยุดพัก) เดินต่ออีกนิดซัก 10 นาที ก็จะถึงสถานีสุดท้ายก่อนลานกางเต็นท์ ว่าแต่….ป้ายหาย มันคือที่ไหนวะ ดูในแมพที่ถ่ายที่อุทยาน อ่อ เขาลูกช้าง ถึงจุดนี้น่าจะประมาณเวลา 11:30-11:40 ได้ ที่นี้จะเป็นการปีนข้ามเขาสุดท้ายก่อนถึงลานกางเต็นท์แล้ว จุดนี้ควรเริ่มใส่ถุงมือเพราะจะเริ่มชันจนต้องเกาะเชือกช่วยปีนขึ้น-ปีนลง ช่วงปีนขึ้นค่อย ๆ ไต่ได้ แต่ตอนปีนลงถ้าใครกลัวความชัน ความสูง คงต้องค่อย ๆ ย่อจับเชือกให้มั่นแล้วค่อยกระดึ๊บลงไป (ส่วนเราก็คือถลาลง รองเท้าดีมีชัยไปกว่าครึ่ง 😎) ซัก 20-30 นาที ก็จะมาถึง….ส้วมหลุม 3 ห้องในตำนาน!!!! บอกเลยว่ากลิ่นนี่ของจริง มีแมสก์ก็ใส่ไว้ก่อนเดินผ่าน มียาดมยาหม่องก็ป้ายแมสก์ให้พร้อมเลย แค่เดินผ่านก็ทรมานละ กลิ่นแรงมากจริง ๆ แบบยอมเลย

เดินลุยเลาะเขากันต่อ ต้นหญ้าสูงมากแถวนี้

หนทางอีกยาวไกล ถ่ายมุมนี้มีกำลังใจปีนมาก lol

ลูกไหนที่เป็นปลายทางนะ

7th Check Point "เขาช้างน้อย" เราช้างใหญ่ // โดนตบ เริ่มขึ้นไต่เขาโล่ง ๆ ยาว ๆ

มองมุมกว้างอีก 2 เฮือกถึงลานกางเต็นท์
ผ่านลานจอด ฮ. ใกล้ถึง Check Point สุดท้ายแล้ว

เพื่อน ๆ ค่อยไต่ตาม ๆ กันมา

Last Check Point (8th) ป้าย "เขาลูกช้าง" ปลิวหายจ้า

อีกลูกนึง ๆ เริ่มเตรียมถุงมือกันได้แล้ว

หลังผ่านไปก็จะถึงลานกางเต็นท์แล้ว เสร็จสิ้นภารกิจครึ่งแรก หาเต็นท์จัดของ เก็บของแล้วก็หาที่ร่ม ๆ พักผ่อนรอเวลา 15:00 . เจ้าหน้าที่จะเรียกขึ้นสันคมมีด ช่วงเวลาเกือบ 3 ชั่วโมง ก็แล้วแต่จะใช้เวลากันยังไงเลยจะกิน จะนอนพัก จะเล่นไพ่ (ที่ไม่ใช่การพนัน) อะไรก็ว่ากันไป นี่ตอนแรกก็กางผ้าปูแถวหน้าเต็นท์แต่แดดแรงจัดสุดท้ายไปนั่งตรงที่พักของลูกหาบ จุดยุทธศาสตร์มาก หลบแดดร่มสุด ๆ (เลยทำให้ได้คุยแล้วก็จ้างซื้อเป๊บซี่พร้อมน้ำแข็งมากินตอนเย็นหลังลงสันคมมีดนี่แหละ 😎)

**Tips ส่วนตัว**

                เราพกน้ำเกลือแร่ไปด้วยก็จัดการพักหายเหนื่อยซัดชดเชย กับ้นำเล็กน้อยก็สบาย ๆ ยาว ๆ นะ

ถุงมือช่วยได้เยอะอย่าลืมเด็ดขาดกันลื่นกันบาดมือ

ส้วมหลุมในตำนาน กลิ่นแรงมากจริง TT

ถึงลานกางเต็นท์แล้ว ลูกหาบกางให้ก็สบายหน่อย

ปีนขึ้นสันคมมีด

                พอเวลา 15:00 เจ้าหน้าที่จะเรียกรวมพลชี้แจงข้อควรระวังต่าง ๆ ถ่ายรูปหมู่ แล้วก็ค่อย ๆ ไต่ขึ้น เนื่องจาก (เค้าบอกว่า) ชัน (แต่พื้นที่เดินโคตรกว้างสำหรับเรา) ก็พกของเฉพาะที่จำเป็น เช่น กระเป๋าแนบที่ใส่น้ำได้ โดยที่มือ 2 ข้าง พร้อมใช้งาน และถุงมือ สำหรับไว้จับเชือกให้มั่นไม่ต้องกลัวถลอก ปีนไต่เขาตามแนวจุดนี้จะค่อย ๆ เดินต่อ ๆ กันไปช้า ๆ ทางจะแคบเล็กน้อย ถ่ายรูปได้แหละแต่ถ้าจะถ่ายรูปก็ควรหยุดเดินนะ เดินไปประมาณ 20-30 นาที จะถึงจุดที่ต้องจับเชือก 2 มือแล้วดันตัวขึ้นตามสันหิน (ถ้าตก เซเอียงซ้าย-ขวา ก็กลิ้งยาวอ่ะ) อืม คือเราปีนรวดเดียวถึงเค้าไม่ได้ต้องแนะนำอะไร แต่ที่เห็นคนที่ไม่คล้อง หรือ หาจุด จังหวะไม่ได้เจ้าหน้าที่กับลูกหาบจะช่วยดูช่วยแนะนำนะ เชื่อมั่นพวกเค้าไว้เดี๋ยวก็ปีนขึ้นไปได้เองแหละ พ้นจุดคอขวดนี้ไปก็จะปีนข้ามอีกสองลูกก็ถึงยอดเขาช้างเผือกแล้ว ใช้เวลาอีกประมาณ 20-30 นาทีได้ (ตอนจะถึงยอด เพราะพักนานไป เครื่องเย็น จู่ ๆ ตะคริวขึ้นต้นขาสองข้าง ไปถึงละนอนตายยาวเลย ขยับไม่ได้ 😂)

เริ่มปีนสันคมมีด

เคารพเจ้าที่

ทางจะชันต้องปีนป่าย อย่าลืมถุงมือเด็ดขาด

หันหลังมาถ่ายรูปย้อนหน่อย ถ้าจะถ่ายให้หยุดยืนนิ่ง ๆ นะเดี๋ยวตกไปละเป็นเรื่อง

จุดที่จะลำบากเล็กน้อยดึงเชือกจะไต่ขึ้นไป (ใครกลัว ไม่ถนัดมีเจ้าหน้าที่ช่วยจ้า)

ถ่ายย้อนกลับไปหลังปีนขึ้นมา

Go on Go on

อื้มมมม TwT นั่นแหละปลายทาง

อีกนิดเดียววววววว

ถึงแล้ววววววววววว เห็นเขื่อนด้วยเพราะฟ้าใส

วิว 360 องศา อย่างงาม

วิวรอบ ๆ ยอดเขา

หลังพักเหนื่อยก็เชยชมวิว ถ่ายรูป พักผ่อนตามสบายเลย เจ้าหน้าที่ให้เวลาประมาณชั่วโมงหนึ่ง (ถึงประมาณเกือบ 5 โมง) จะให้เริ่มทยอยลง เพราะขากลับถ้าพระอาทิตย์ตกดินแล้วมันจะมองทางลำบากมาก (จริง ๆ ก็ว่าจะลงไวพร้อมแก๊ง แต่เผลอไปถ่ายรูปให้พี่สามี-ภรรยาคู่หนึ่ง ละยาวเลยจนคนลงหมด แต่ก็ถือว่าโชคดีได้มุมและวิวที่ไม่มีคน และกล้องพี่เค้าก็อย่างดีเลยได้รูปดี ๆ เป็นค่าตอบแทน 😜) ขากลับใช้เวลาประมาณ 40 นาที (จะช้าสุดก็ตรงคอขวดที่ว่าไปก่อนหน้า) ถึงที่พักราว ๆ เกือบ 6 โมงได้ เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจพิชิตยอดเขาช้างเผือก

ขอคนอยู่ในเฟรมบ้าง

That's me babe

ยอดเขาช้างเผือก 30/12/2021

กิมมิคตัวเองไปไหนต้องโดดทุกงาน
ขากลับลงมาแสงสะท้อนเป็นทุ่งสีทองเลย

งามมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

อยากหยุดเวลาไว้จริง ๆ
วิวพระอาทิตย์ตกดินก็ดีนะ

อาหารการกินและการพักผ่อน

                ทริปนี้เตรียมเป็นเตาแก๊สปิกนิก น้ำ ต้มมาม่า และหาของมาสุมกัน เช่น แกง ปลาประป๋อง เพิ่มโปรตีน หรือปรุงรสกันตามใจชอบเลย (ส่วนตัวก็พกปลาประป๋องญี่ปุ่น กับ ผงโรยข้าว) หลังกินเสร็จก็จัดเป๊บซี่ที่ได้จากพี่ลูกหาบ แล้วก็มีต้มชากินเองนิดหน่อย กินเสร็จก็ทำความสะอาด เก็บกวาด จัดของ

  • ใช้ทิชชู่เปียกพระเอกของงานนี้ในการจัดการข้าวของต่าง ๆ
  • เสื้อผ้าที่ใส่ขาขึ้นที่จะเปียกเหงื่อและอาจเหม็นอับก็แนะนำให้ฉีดสเปรย์ดับกลิ่น (Deodorant) หรือ น้ำหอม ก็แล้วแต่สะดวก
  • ยากันยุง
  • สเปรย์/ยานวด ฉีดหรือทาไว้เลย หรือ ใครสายพกยาคลายกล้ามเนื้อก็กินไว้ก่อนนอน
  • ถ้ามีแผ่นปูรองนอน บอกเลยว่าชีวิตจะดีขึ้นเยอะ ไม่ก็ต้องถุงนอนหนา ๆ หน่อย

วิวตอนกลางคืน ใครสายกล้องถ่ายรูปดาวคงฟินน่ะ แบบเต็มฟ้าแล้วก็สวยมาก แต่ดูนานไม่ได้ เพราะตอนกลางคืนลมแรงมาก ๆ ด้วยความที่เป็นลานโล่ง ๆ ตรงสันเขา คืนตีแรงแบบแรงมากจริง ๆ ถ้ากางเต็นท์ไม่ดีมีปลิวกันอ่ะ หลังจัดการอะไรเรียบร้อยก็ได้เวลาพักผ่อนเตรียมเดินทางกลับ

Day 2: ลงมาก็ต้องน้ำอัดลมกับของกินอร่อย ๆ แล้วล่ะ (31/12/2021)

                ตั้งปลุกไว้ไม่เกิน 6:30 แต่ว่าเอาเข้าจริง ตาสว่างตั้งแต่ตี 5 กว่า ก็นอนขด นอนกลิ้งไป จนเกือบ ๆ 6 โมงรู้สึกว่าเริ่มมีแสงเลยเดินออกมาถ่ายรูป ไป ๆ มา ๆ นึกครึ้มเลยย้อนปีนเขา แล้วก็คิดไม่ผิด ได้มุมพระอาทิตย์ขึ้นสวยจริง ๆ ด้วย และความกล้องมือถือกาก ก็ขอเกาะอาศัยกล้องชาวบ้านที่ขึ้นไปด้วยนั่นแหละถ่ายแล้ว Air Drop ให้ด้วยยยยยยยย 😆


6 โมงกว่า ๆ ฟ้าเริ่มสว่าง

งดงาม
มองวิวมุมกว้างบ้าง
ขึ้นแล้วววว
Cool!

                หลังชมพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จก็ลงมาจัดการข้าวของ ต้มน้ำดริปกาแฟ และสวาปามของแห้ง (ส่วนตัวจัดเป็นแครกเกอร์ทูน่า) บางคนก็นม บางคนก็ขนม บางคนก็โจ๊ก (ดีนะมีคนใช้น้ำร้อนด้วยไม่ใช่แค่เรา ไม่งั้นแบบ เอ้อ รอชั้นคนเดียว) จัดการรองท้องเสร็จเรียบร้อย (พร้อมอัด M-150 อีกครึ่ง และชาเขียวใส่กระบอกเซรามิกเก็บความร้อน) ให้พี่ลูกหาบเก็บเต็นท์ให้ ก็เริ่มเดินลงราว ๆ 8 โมง ค่อย ๆ เดิน (อย่าลืมถุงมือด้วย ตอนเช้าที่ดูพระอาทิตย์ขึ้นคือไปมือเปล่าจับลำบากแท้) ถ่ายรูป ชมวิวพักผ่อน ซักเกือบชั่วโมงจะย้อนกลับมาถึงเขาชะมด แสงแดดและวิวทิวเมฆ สวยมาก มีโขดหินให้ถ่ายเล่นมุม เลยใช้เวลากันนานหน่อย ณ จุดนี้

Moonstone my love :)
ต้องจากลากันแล้ว

ไต่เลียบเขา (ทางกลับไต่ลงเป็นหลักสบายหน่อย แต่คนไม่ชินจะบอกว่าเสียวอยู่นะ)

เขาชะมด มุมมันสวยจริง ๆ นะ

ค่อย ๆ ไต่ลงมาอีกราว ๆ 30-40 นาที (ประมาณ 9:30) ก็จะกลับมาถึง หุบกะเหรี่ยงตรงนี้แดดโคตรเปรี้ยง แต่ก็ถ่ายรูปได้สวย อันนี้ใครทนได้ก็ได้รูปสวย ๆ กลับไป แต่บรัย ไม่สู้ 555+ จากนั้นก็เดินลงยาว ๆ พักตามสถานีเรื่อย ๆ อีกชั่วโมงหนึ่ง (10:30) ก็จะกลับมาถึงปากทางเข้า แล้วก็เดินลงอีกอึดใจนึง 20-30 นาทีก็จะกลับมาถึงหมู่บ้านแล้ว (ถึงราว ๆ 11 โมง) ก็พักผ่อนหาของกิน โดยเฉพาะน้ำอัดลม! แล้วก็เดินช็อปปิ้งของฝากกันเสร็จ ค่อยเดินไปรับของที่ลูกหาบ ซึ่ง….เหลือแค่สัมภารกของแก๊งเรา เอ้อออออ จริง ๆ คือเราควรเดินมารับของก่อนแล้วค่อยไปพัก ขออภัยมา ณ ที่นี้อีกที 😥 จากนั้นก็จัดข้าวของให้เรียบร้อยแล้วกลับไปอาบน้ำที่อุทยาน

วิวตรงหุบกะเหรี่ยง สวยมว๊ากกกก


ทางเดินป่าสุดท้ายก่อนลงไปถึงหมู่บ้าน
กลับมาถึงหมู่บ้านแล้ว
บ๊ายบาย ปิล๊อก

ที่อุทยานจะเป็นห้องส้วมและห้องอาบน้ำในตัว ก็ต้องดูห้องดูคิว ดูสภาพดี ๆ จากจุดนี้ก็พักผ่อนสบาย ๆ กัน พออาบเสร็จก็ไปดูนกเงือก ไปน้วยแมวต่อตามอัธยาศัย พร้อมเพรียงเสร็จก็ไปรับประกาศนียบัตร พร้อมเงิน Refund (ถ้ามี) กับเจ้าหน้าที่เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจพิชิตยอดเขาช้างเผือกอย่างเสร็จสมบูรณ์ หลังจากนี้ใครใคร่กลับ ใคร่เที่ยวต่อ ใคร่ไปลุยร้านอาหาร คาเฟ่ หรือใด ๆ ก็ตามแต่แพลนเลย (ส่วนตัวมุ่งไปหาร้านอาการดังในกาญจนบุรี แต่….นั่นแหละ เอิ่ม ตรง ๆ ผิดหวังกับรสชาติ เลยปิดมื้อสุดท้ายของปีแบบกร่อย ๆ หน่อย) แล้วก็ยิงยาวมุ่งหน้ากลับสู่มาตุภูมิถึงกรุงเทพกันราว ๆ 3-4 ทุ่ม จบปีรอเคาท์ดาวน์แล้วนอนตายรอรับสภาพอาการปวดกันไป

เกียรติบัตรวันสิ้นปีพอดี (31/12/2021)

สรุป: เป็นทริปที่จองยากกว่าปีน ระยะทางไม่ไกล แต่วิวสวยงามล้านแปดคุ้มค่าที่ไปมาก ๆ ควรค่าแก่การมาซักครั้งในชีวิต ส่วนเรื่องความชันอันนี้แล้วแต่บุคคล แต่ถ้าเทียบกับหลาย ๆ ที่ที่เคยไปมาก็คือเป็นระดับ Beginner นะ คือเหมาะสำหรับมือใหม่ อีกอย่างสำหรับเส้นทางที่มีอุทยานแบบนี้และไม่ไกลกรุงเทพฯมาก ถ้ามีรถส่วนตัวไปเองนี่ถือว่าสะดวกหลายอย่างมาก ๆ (จริง ๆ ไม่ต้องใกล้กรุงเทพฯ ก็ได้ อย่างตอนภูสอยดาวก็บินไปเช่ารถ ก็สะดวกดี)

รายการค่าใช้จ่าย: ย้ำว่าขึ้นอยู่กับความพร้อมของอุปกรณ์ต่าง ๆ