วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2563

บ้านกุ๊บกั๊บ & ผาสามเหลี่ยม (2020): เมื่อความฝันและความจริงไม่สอดคล้อง ก็ลุ้นไปอีกแบบ

 เกริ่นนำ:

                จากสถานการณ์ COVID-19 ที่แพร่ระบาด แน่นอนว่าการไปเที่ยวเมืองนอกต้องฟรีซไปก่อน พอเริ่มผ่อนปรนมาตรการต่าง ๆ ร่างกายก็ต้องการปะทะการท่องเที่ยวบ้าง ซึ่งด้วยความที่ชอบ explore อะไรใหม่ ๆ แน่นอนว่า ก็อยากไปจังหวัดที่ไม่เคยไป อยากลองการท่องเที่ยวแบบใหม่ ๆ บ้าง ที่นี้โดยปกติในประเทศจะเที่ยวกับ เดอะ แก๊ง ที่ปัจจุบันตี้แตกไปแล้ว lol ก็คือมักจะไปกัน 3 คน เข้าป่าล่าสัตว์ //ผิด เข้าป่ากางเต็นท์ ปีนเขาชมวิวเสพอากาศบริสุทธิ์และบรรยากาศอันแสนร่มรื่น

อ่ะ ตี้ก็แตกไปแล้ว ไปคนเดียวก็ค่าใช้จ่ายสูง เกาะไปกับทริปรวมกลุ่มบ้างละกัน

โอเค ได้วิธีท่องเที่ยวเดินทางแล้ว คำถามถัดมาคือไปที่ไหนดี (คำถามนี้มาก่อนไปกับใคร 555+)

ก็บังเอิญใน Facebook พลันปรากฏขึ้นมา ช้างผาด่าน จ.แพร่ ใช้เวลาแค่ 2 วัน 2 คืน

(เดินทางศุกร์ค่ำ กลับถึงกรุงเทพฯ อาทิตย์ค่ำ) อ่ะ รออะไรล่ะ ไปดิครับ

ซึ่งต้อนต้นน่ะ แพลนไว้ว่าจะไปตอน 19-21 สิงหาคม แต่เกิดเหตุไม่คาดฝัน ก็คือปิดไม่ให้ขึ้นกะทันหันเพราะฝนตกหนัก เสาไฟฟ้าล้ม ซึ่งแบบดวงคนมันจะซวย อุตส่าห์บินกลับจากเชียงใหม่เย็นวันศุกร์จากงานที่ไปอบรมเพื่อมาพบว่าทริปแคนเซิล เลื่อนไปก่อน แบบตรูบินกลับมาทำม๊ายยยยยยยยยย ละคือลาวันจันทร์ไว้เรียบร้อย เอ้อ ช่างมันถือว่าพักผ่อนกลางปีก็ได้วะ

 

เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปจนในที่สุดก็ได้วันเป็น 2-4 ตุลาคม คราวนี้มีพี่อีกคนจากทที่ทำงานมาจอยด้วย (คือยังไงเราก็ไปอยู่แล้ว พอเลื่อนพี่เค้าเลยมาจอยด้วย) ปรากฏพอถึงสัปดาห์ที่จะไป อ่ะ โดนอีกแล้วตรู ช้างผาด่านพี่แกปิดหนีอีก ซึ่ง The way could not turn back or postpone แล้ว หัวหน้าทริป จ่าหมูจึงเสนอไปบ้านกุ๊บกั๊บ ผาสามเหลี่ยม ณ จ.เชียงใหม่ แทน แต่จากที่จะกางเต็นท์ เดินลุยเปียก ๆ กลายเป็นนอนโฮมสเตย์แทนแล้วค่อยเดินขึ้นดอย เพราะป่าไม้ไม่ให้กางเต็นท์

 

คือถึงจุดนี้ก็ชั่งใจอยู่นานมาก เพราะ
1. ไม่ได้กางเต็นท์

2.ไปจังหวัดซ้ำ (แม้สถานที่จะไม่ซ้ำ)

3.ตอนแรกมีบอกว่ากลับลงมาไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ ที่เพิ่งไปมาเมื่อเดินสิงหาคม

4.ที่ใหม่ แต่วิวยังดูไม่น่าโดนใจเท่าไร

 

คือไม่ใช่อะไรหรอก อุตส่าห์เสียเงินทั้งทีก็อยากไปหาอะไรใหม่ ๆ นั่นแหละ แต่สุดท้ายก็มีเพื่อนร่วมเดินทางแล้ว เวลาก็ผ่านมานาน ลองเปิดใจไปดูก่อนแล้วกัน ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศ

จบการอารัมภบทของความบ้ง ที่ดูจะไม่มีดงเอาซะเลยกับการท่องเที่ยวในปีนี้

 

Day 0 – 1: จากกรุงเทพสู่เชียงใหม่ด้วยรถตู้ ก่อนเซอร์ไพรส์ในหลาย ๆ อย่าง

2 ตุลาคม 2563 – หืม ต้อนรับกันได้ดีมาก คือฝนตกหนักถล่มกรุงเทพฯ จ้า คือ นัดเจอที่บิ๊กซีสะพานควาย เดินทางด้วยรถตู้ ตอน 2 ทุ่ม แต่เพิ่งถึงห้อง แถมยังไมได้รีวิวของอีกที (ดองไว้ตั้งแต่สิงหานั่นแหละ) ตอนทุ่มครึ่ง ก็จับยัด ๆ นู่นนั่นนี่แล้วก็พุ่งตัวออกมา สรุปก็ออกเลทกันไปอีกชั่วโมงหนึ่งเพราะสายกันหมด 

3 ตุลาคม 2563 – ประมาณ ตี 5 ครึ่ง ก็มาถึงสุโขทัย แวะพักเข้าห้องน้ำใด ๆ จากนั้นก็เดินทางต่อ ประมาณ 7 โมงครึ่งก็มาถึงเชียงใหม่ แวะปั๊ม ล้างหน้า แปรงฟัน ก่อนแวะเข้าไปกินอาหารเช้ากันที่ตัวเมือง เช้านี้แวะที่ร้านโจ๊กนครพิงค์ ก็สั่งอาหารกินกันตามอัธยาศัย จากนั้นเดินทางต่อ

แวะกินข้าวเช้า

9:30 . มาถึงม่อนแจ่ม แวะพักเดินเล่น อารมณ์แบบปรับตัวให้ชินกับอากาศและบรรยากาศหมอก ๆ ก็เดินเล่นแวะพักจิบชา ถ่ายรูป หาซื้อกินของท้องถิ่นอุดหนุนชาวบ้านกันไป ทั้งชาดอกกาแฟ บัวหิมะ พิซซ่าดอย (ข้าวปุ๊ก)

บัวหิมะปอก



จิบชาดอกกาแฟรับบรรยากาศ



ข้าวปุ๊ก (พิซซ่าดอย)


11:00 . ออกจากม่อนแจ่ม แวะพักกินอาหารกลางวันที่ ร้านหมูทองโภชนา แม่แตง ตอนแรกจะสั่งพวกเป็ดย่างแต่หมด เลยลองบะหมี่ขาหมู เฮ้ย คือดีมาก แบบบะหมี่กับขาหมูและซุปเข้ากันได้ดี ให้พลังงานจัดเต็ม เตรียมพร้อมกับการลุยเลย

ประมาณบ่ายโมงครึ่งก็มาถึง อบต.กื้ดช้าง เปลี่ยนรถไปนั่งรถกระบะเพื่อขึ้นไปที่หมู่บ้านกุ๊บกั๊บ ใช้เวลาไม่นาน ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่ทางคืออย่างชันเลย คือนั่งท้ายกระบะไปก็คือยิ่งกว่าเล่นเครื่องเล่นที่สวนสนุกแบบที่เซฟตี้นั้นขึ้นอยู่กับตัวเองที่แท้ทรู TwT

หลังจากขึ้นมาถึงเจอพ่อหลวงของหมู่บ้าน หืมมม นี่แหละความพีคของทริป คือพ่อแกตีมึนแจ้งว่า อ้อ นี่คือที่แจ้งมาว่ากางเต็นท์พักโฮมสเตย์ช๊ะมะ ไม่มีห้องพักแบบเตียงนะ มีแต่บ้านให้กางเต็นท์ ซึ่งเอาล่ะ ยังไง ๆ หัวหน้าทริปก็เลยต้องเปิดไลน์ให้ดูว่า เออ ตอนแรกน่ะกะมากางเต็นท์จะใช้บริการแค่รถรับส่ง แต่พอป่าไม้ไม่ให้ก็เลยจะนอนโฮมสเตย์แทน ไม่ใช่โฮมสเตย์แบบกาเต็นท์เอง แกต้องเตรียมให้ดิ ซึ่งจากนี้เป็นการตั้งสมมติฐานเอง ก็คือเราสังเกตว่ามีอีกกลุ่มหนึ่งคนประมาณเดียวกันมาแบบ Walk-In ซึ่งเหมือนพ่อหลวงแกจะกินเนียนคือถ้าเราโอเค กางเต็นท์ในบ้านที่ไม่มีที่นอน (เป็นบ้านที่ยังทำไม่เสร็จนั่นแหละ) แกก็จะรับกลุ่มนั้นได้ด้วย ไม่ต้องกระจายลูกค้าไปให้กับลูกบ้านในหมู่บ้าน (ทุกบ้านมีโฮมสเตย์แต่เหมือนว่าจะต้องผ่านพ่อหลวงก่อน) ก็ไม่เป็นไรเรายืนยันว่าจะโฮมสเตย์แบบมีที่นอนให้พร้อม ระหว่างที่ดู ๆ เหมือนหัวหน้าทริปจะมีประสบการณ์เยอะ ก็บอกไม่เป็นไร ฝากของแล้วลุยขึ้นดอยเที่ยวกันก่อนค่อยว่ากันแล้วกัน (ซึ่งจริง ๆ เรายังไงก็ได้ แต่ก็ เห๊ะ ไม่ใช่ปีนพรุ่งนี้หรอกหรอ ตอนแรกคือมาชิล เดินเล่นในหมู่บ้านก่อนหนิ๊ อ่ะ ไปก็ไป)



วิวบริเวณหน้าโฮมสเตย์

หลังจากมึน ๆ อึน ๆ กับพ่อหลวงไปก็เก็บของ เตรียมแต่ของใช้ที่จำเป็นสำหรับขึ้นเขา แล้วก็ขึ้นกระบะนั่งท้ายตะลุยดอย (อีกแล้ว) ซักประมาณ 15-20 นาทีก็มาถึงตีนดอย มีไกด์ก็คือคนในหมู่บ้าน 1 คนพาเดินนำทางขึ้นไป ใช้เวลาเดินตั้งแต่บ่าย 3 จนถึงยอด ผาสามเหลี่ยมก็ประมาณ 4 โมงนิด ๆ ประมาณชั่วโมงหนึ่ง ระยะทางเห็นเค้าว่าประมาณ 2 กิโลเมตร ได้ ซึ่งระหว่างทางจะเป็นการปีนขึ้นดอยข้าม 2 ลูก ลูกแรกค่อนข้างนานคือไม่ชัน เรื่อย ๆ พอข้ามลูกแรกก็เป็นทางเลียบ ๆ ผาจนมาถึงทางเดินที่ดูเป็น Signature ให้ถ่ายรูปได้ แล้วค่อยปีนลูกสองไปต่อซึ่งจะโคตรชันเลย แต่ถ้าเทียบแล้วก็ถือว่าสบาย ๆ ถ้าให้นับความยาก ความชัน (ไม่นับระยะทาง) ให้อารมณ์แบบภูกระดึงช่วงท้ายแต่เขียวชอุ่ม อากาศดี อุดมไปด้วยหมอกตลอดทาง หลังจากถึงยอดสุดทางก็นั่งพักผ่อน รอหวังให้หมอกหายจะได้เห็นวิวสวย ๆ ซึ่งก็พอเห็นบ้าง คล้าย ๆ ดอยมะม่วงสามหมื่นเลย แต่เห็นได้ไม่นาน ยังไม่ทันถ่ายรูปหมอกก็ปิดวิวสวย ๆ ซะมิดอีกแล้ว ส่วนใหญ่เลยเป็นการดื่มด่ำกับบรรยากาศซะมากกว่า นั่งชิล ๆ กับอากาศเย็น ๆ ฟิน ๆ ประมาณเกือบชั่วโมงก็เดินลง ขาลงใช้เวลาน้อยกว่าซัก 40-50 นาที ที่นี้มันมีประเด็นหนึ่งที่ลืมเล่า คือตอนพ่อหลวงมาส่งน่ะ แกบอกว่า เออ ถ้าฝนตกไม่ขึ้นมารับนะมันอันตราย เราก็แบบรับทราบ เข้าใจได้ แต่ประเด็นคือตอนตรูขึ้นจนลงมาเนี่ย ฝนมันไม่ตกแต่รถที่ควรจะรอรับอ่ะ อยู่ไหน!!! ไม่มี!!! โทรไปก็ติดต่อไม่ได้จนแบบ เออ เกือบ 5 โมง 40 กว่า เริ่มเย็นแล้ว ถ้ารอไปนานกว่านี้พระอาทิตย์ตกดินจะลำบาก เดินลงกันดีกว่า ซึ่งช่วงขาลงที่ตอนแรกนั่งรถมาเนี่ย มันทั้งแฉะ ดินโคลนมาก มีช่วงชันอีก แถมชาวบ้านก็เดินไม่รอ (ไม่เราตามทันอยู่คนเดียว) จนสุดท้ายมาถึงทางแยกเป็นทางคนเดินกับทางรถ แต่พี่แกก็ไม่รอเดินไปทางคนหายไปเลยเราก็แบบ เอาละ ไม่ได้จุดนี้ต้องรอคณะด้วยแล้ว ไม่งั้นหลงกันแน่ ๆ พอคณะที่เหลือตามมาหมดก็ค่อยตัดสินใจไปทางคนเดินแหละ น่าจะสั้นสุด พอไปถึงปลายทางก็เห็นคุณพี่แกนั่งเล่นมือถือรอชิล ๆ แล้วพูดว่าไปถึงหมู่บ้านก็มืดพอดี แบบ….เอ้อ เอาเลย จุดนี้เจออะไรก็ไม่เซอร์ไพรส์แล้ว จากจุดที่รถควรจะรับมาถึงหมู่บ้านใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เห็นคนที่จับระยะทางบอกว่า 4 กิโลเมตร

สรุประยะทางการเดิน:

ขาขึ้น (มีรถพาไปส่งตีนดอย): ระยะทาง 2 กิโลเมตร จนถึงผาสามเหลี่ยม ใช้เวลาประมาณ 60 – 70 นาที

ขาลง (ถึงจุดที่รถควรจะมารับ):  ระยะทาง 2 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 40 -50 นาที

เดินกลับหมู่บ้าน (พ่อหลวงเบี้ยวนัด): ระยะทาง 4 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 60 นาที

ลองตีเล่น ๆ สำหรับคนที่จะมาแล้วเผื่อว่าไม่มีใครไปรับ-ส่ง ที่ตีนดอยตั้งต้นเดินจากหมู่บ้าน ให้พักที่ยอดผาดื่มด่ำบรรยากาศซักชั่วโมง แปลว่าใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมงได้



เห็ดป่า
ข้ามดอยแรกมาได้แล้วอีกนิดเดียว

ถ้าหมอกหายวิวต้องสวยมากแน่ ๆ
หมอกมาต่อเนื่องเลยจ้า

หมอกลงจัดอดเห็นวิวจ้า

งหมอกลงจัดเป็นระยะแต่มองเห็นทางเดิน


ทางเดินเลียบผา

อากาศสดชื่นสุด ๆ

ต่อ ๆ พอมาถึงหมู่บ้าน หัวหน้าทริปก็ถามก่อนเลยว่าทำไมไม่มารับ พ่อหลวงก็บอกเลย อ่าวก็บอกแล้วฝนตกอันตรายเลยไม่ขึ้น นี่ก็สวนกลับกันว่า แต่ฝนไม่ตกนะ แกก็บอกต่อเลยว่า ไม่ ๆ ก็คือบอกแล้วว่าฝนตกมันอันตรายนะ ไม่ขึ้นไปรับ (สาบานว่าแกไม่ได้พูดงี้ โคตรมึน โคตรมั่ว) ตามจริงพวกลูก ๆ ไม่ควรขึ้นกันวันนี้ด้วยเพราะเมื่อวานฝนตก แต่เห็นบอกอยากขึ้นเลยพาไปส่ง สรุปกลายเป็นกลุ่มเราผิดซะงั้น =w=” เอ้อ ช่างมันเพลียเหนื่อยแล้ว สุดท้ายเคลียร์ว่าได้ที่นอน 3 ห้อง มีข้าวเย็นพร้อม พอแล้ว

ที่พักได้เป็น 3 ห้องนอนติดกัน เป็นเตียงพร้อมมุ้ง มีลานข้างหน้าห้องให้นั่งกินข้าว พร้อมดูพระอาทิตย์ขึ้นและชมหมอกในยามเช้า ข้าวเย็นที่ได้มีข้าวกับแกงฟักทองกับปีกไก่บน และน้ำพริกปลาทู และไข่เจียว ซึ่งไม่พอกินแน่นอนก็เลยไปสอยปลากระป๋องที่ร้านค้า พร้อมหมูยอ และแคบหมูมา หลังจากกินเสร็จ ความที่วันนี้ยังขาดคาเฟอีน ก็เลยเอาน้ำร้อนที่ขอมาชงกาแฟดริปกิน ครั้งนี้พก Drip Bag ของ 10 สุดยอดกาแฟไทยอันดับ 5 Honey Process ของจังหวัดตาก บ้านน้ำซับมาดับความอยากแต่น้ำไม่ร้อนมาก เลยค่อนข้างจะอ่อนไปนิด ไม่เป็นไรพรุ่งนี้ค่อยแก้ตัว พอกินข้าวอะไรกันเสร็จ ก็ต่อคิวกันอาบน้ำ ห้องน้ำเป็นแบบห้องน้ำรวม แยกห้องส้วมกับห้องอาบน้ำ มีวิวแบบมองไปเป็นทิวเขา โคตร Open Air พออาบน้ำ แปรงฟันเสร็จ ก็มานั่งคุยกัน ใครง่วงก็แยกย้ายกันไปนอน รู้สึกว่าส่วนตัวจะนอนไปตั้งแต่ 3 ทุ่มกว่า ๆ ยังไม่ 4 ทุ่มนะ ก็ถือว่าปิดจ๊อบ Day 1 โดยการพิชิตผาสามเหลี่ยมได้เรียบร้อย

วิวขากลับที่แข่งกับเวลา

Day 2 – ปีนผาแล้วปล่อยชิลบ้าง เที่ยวตะลอนตามใจคณะแม่ม

4 ตุลาคม 2563 – 6 โมง….ชั้นตื่นขึ้นมาในเวลา 6 โมงเป๊ะ ๆ หืมมม นี่มันผลจากการตื่นแต่เช้าไปทำงานใช่ไหม อุตส่าห์ไม่ตั้งปลุกใด ๆ กะพักผ่อนให้เต็มที่ แกก็ตื่นแต่หัววันเลย อ่ะ ไม่เป็นไร สุดอากาศยามเช้าก็ดี เอ้อ ลืมบอกว่าอากาศก็เริ่มเย็น ๆ แต่ใส่แค่เสื้อกันหนาวตัวเดียวทับเสื้อปกติก็เอาอยู่นะ เช้า ๆ มาระหว่างรอกินข้าวก็ถ่ายรูป ดูวิวกันไปจนซัก 7 โมง หัวหน้าทริปบอกว่าตรงร้านค้ามีวิวหมอกสวย ๆ ให้มาดู มาถ่ายรูปกัน ซึ่งตอนนั้นก็แซวกันขำ ๆ ว่า เค้าปิ้งไก่ขายป่าว แต่ก็นั่นแหละ ไปดูกันต่อให้เป็นไก่ก็จะได้ซื้อกินอยู่ดี (อยากบอกว่าทั้งทริป อยากไก่ย่างมาก เพราะเห็นไก่บ้านเดินกันว่อนเลย) พอไปถึง หืม ว๊าวมาก คือเป็นจุดชมวิวของหมู่บ้านเลยแหละ เป็นทะเลหมอกที่ส่วยมาก ๆ ที่หนึ่งเลย ซักประมาณ 7 โมงครึ่งก็กลับไปที่พัก ดริปกาแฟรอกินข้าว พอน้ำร้อน ๆ อากาศดี ๆ หืม ได้รสชาติตาม Taste Note ดีมากเลย จากนั้นก็กินมื้อเช้า เป็นไข่ต้มคนละ 2 ฟองกับน้ำพริกแห้ง อะไรไม่รู้แต่อร่อย แซ่บ ๆ ดี กับผักสด ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดของมื้อนี้คือผักแม้วต้มสด ๆ นี่แหละ หวานอ่อน ๆ อร่อยมาก ๆ หลังจากกินเสร็จ ก็แยกย้ายอาบน้ำ เก็บของ ทำอะไรเสร็จ 9 โมงก็ล้อหมุนลงกลับมาที่ อบต. บอกลาพ่อหลวงแกซักที ถ้าถามว่าถ้าจะมาแล้วไม่ต้องผ่านพ่อหลวงไหม ได้นะแต่ต้องหา Contact อื่นเอา เพราะเห็นมีคู่รัก 2 คนมาโดยพักที่โฮมสเตย์อื่นเหมือนกัน แต่ ๆ ๆ ขากลับยังมีความอิหยังเหมือนกัน เพราะแกบอกว่าขาลงเอาไปแค่คันเดียวนะ บอกไม่อันตรายเท่าขาขึ้น สรุปก็คือยัดกัน 12 คน รวมในรถท้ายกระบะและของด้วย อัดเป็นปลากระป๋องกันลงมาอ่ะ คือ แกจะประหยัดหรืออะไรขนาดนั้นนนนนน อ่ะ ไม่เป็นไรลงมาปลอดภัยก็พอแล้ว พอลงมาก็เลยว่าจะแวะที่ท่องเที่ยวแถว ๆ นี้หน่อย จากที่ดังที่สุดของแม่แตงในช่วงที่ผ่านมาก็ไปจบกันที่ปางช้าง แม่แตง เพราะมีช้างแม่แปรก (หมายถึงช้างพัง หรือช้างตัวเมีย ที่เป็นจ่าฝูง) นามว่า ยายพังบุญมา หรือ ฉายาว่า ไทยแมมมอธ อยู่ที่นั่น ก็เลยไปเยี่ยมอยากรู้ว่าเป็นไง

วิวแบบว่า เปิดเผยมาก แต่สวยนะ lol





สวยมว๊ากกกกกก

ทะเลหมอกที่แท้ทรู


อากาศดี ๆ กาแฟดี ๆ Perfect!
ชีวิต โคตรเสี่ยง

10:00 ก็มาถึงปางช้าง พอมาเห็นถึงรู้ว่านางเป็นช้างตัวเล็กนะ มองผ่าน ๆ เหมือนช้างเด็กด้วยขนาดแต่พอมองใกล้ ๆ อ่อ ช้างมีอายุ ซึ่งมีจริง อายุกว่า 68 ปีแล้ว ที่ดังเพราะในปีที่ผ่านมา จู่ ๆ ขนนางก็ยาวเฟื้อยขึ้นจนคล้ายแมมมอธนั่นแหละ ควาญเล่าว่านางใจดีกับคนนะ แต่เข้มงวดกับช้างตัวอื่นมาก ๆ พอแก่แล้วก็เลยแยกออกมา จริง ๆ ที่นี่มีจัดแสดงโชว์ มีช้างวาดรูป ได้ด้วยนะ แต่เวลาไม่เหมาะเท่าไรก็ให้อาหาร ลอดท้องช้างเป็นพิธี แล้วก็ไปต่อซัก 11 โมงก็แวะกินมื้อกลางวันกันที่ข้าวซอยแม่นาย ในแม่แตง เอ๊ย ข้าวซอยเนื้อเค้าอร่อยนะ เนื้อตุ๋นได้ที่กำลังดีเลยแหละ ค่อนข้างประทับใจ แต่พวกของหวานอย่างเฉาก๊วยทรงเครื่องนี่เฉย ๆ เนื้อเฉาก๊วยแข็งไปหน่อย และจากการหารือกันไปกันมาว่าจะไม่เข้าไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ เคยไปกันมาหมดแล้วเลยยิงยาวไปจบที่หาซื้อของฝากซึ่งเป้าหมายกะไปกันที่ตลาดทุ่งเกวียน เจาะจงไปที่ร้านแคบหมู โชคชัย (ไม่รู้ทำไม แต่เค้าก็ทอดใหม่ ๆ อร่อยดี แม่ค้าน่ารักอัธยาศัยดี แถมให้ด้วย) จากนั้นก็ไปแวะสักการะพระธาตุลำปางหลวงแทน จริง ๆ ก่อนเคยมาแล้ว แต่ว่าที่นี่กว้างมาก เดินไม่ทั่วในตอนนั้นมีอะไรที่น่าสนใจเยอะมากทั้งพิพิธภัณฑ์และประวัติต่าง ๆ อาคารหลาย ๆ จุดเองก็ยังอนุรักษ์ไว้ได้ดี ยังเป็นโครงไม้โบราณอยู่ ค่อนข้างถูกจริตเลย ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจากนั้นก็รวมพลแล้วเดินทางยิงยาวกลับกรุงเทพฯ ออกจากพระธาตุตอน 14:30 มาถึงกรุงเทพตรงแถว BTS หมอชิตประมาณ 22:30 ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง รวมแวะพักห้องน้ำ กินข้าวเย็นระหว่างทางด้วย เป็นอันจบมินิทริปในครั้งนี้

68 ปี แล้ว
ตัวเล็กแต่เป็นจ่าฝูงนะฮะ
ยายพังบุญมา ติดโบว์ด้วย




พระธาตุลำปางหลวง

รวม ๆ แล้วเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ได้เจอกับการมารวมเที่ยวกับคนแปลกหน้า แต่ก็สนุกดี ถึงจะไม่ได้ไปเที่ยวในจุดหมายตั้งต้น แต่ก็ได้บรรยากาศใหม่ ๆ พี่ ๆ ในทริปก็น่ารักกันมาก ชิล ๆ กันดี (ตามประสาคนเที่ยวสไตล์นี้) แบบ เออ ลงความเห็นกัน แล้วก็ไปต่อ อย่างการเปลี่ยนจากพระธาตุดอยสุเทพไปที่อื่นแทนอย่างการไปปางช้างกับพระธาตุลำปางหลวง ทำให้รู้สึกว่าได้ไปที่ใหม่ ๆ (หรือที่เก่าแต่เว้นช่วงในระยะเวลาที่ยอมรับได้) ถือว่าประสบผลแล้ว แต่ยังติดอยู่อย่าง ถึงแม้ว่าจะได้ไปที่ใหม่ แต่จังหวัดเก่า ดังนั้น ต้องมีทริปที่ใหม่ จังหวัดใหม่แก้ตัวในปีนี้แล้วล่ะ ส่วนจะไปที่ไหนรอตามดูกันได้เลย (เอ๊ะ เรามีคนตามด้วยหรอ lol)